วันที่ 9 ก.ค. นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า โพสต์ข้อความระบุว่า ขอย้ำข้อเสนอแนะเร่งด่วนให้รัฐบาลต่อเนื่องจากเมื่อวานนะครับ เรื่องการเข้าถึงการตรวจโควิดให้สะดวกขึ้นและทันท่วงที สิ่งที่ต้องทำคือยอมรับและจัดให้มีการเข้าถึง “การตรวจแบบ Rapid Antigen” ให้กับทุกคนที่มีความเสี่ยงหรือมีอาการ แต่งานที่สำคัญที่สุดของรัฐบาลยังเป็นเรื่อง”วัคซีน”ครับ
.
ในต่างประเทศการติดเชื้อยังเพิ่มมากขึ้นอยู่แม้มีการฉีดวัคซีนให้ประชากรได้มากแล้ว แต่สถิติที่มีนัยสำคัญคือการฉีดวัคซีน 2 โดส ป้องกันได้ถึง 90% ไม่ให้ผู้ติดเชื้อมีอาการหนัก – ส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อและมีอาการหนักนั้นยังไม่ได้รับวัคซีน
.
โดยสถิติจากสาธารณสุขอังกฤษชี้ว่า
- Pfizer-BioNtech มีผล 96% ป้องกันอาการหนักในกรณีติดเชื้อ
- Oxford-AztraZeneca มีผล 92%
- ส่วนสถิติจากตรุกีและชิลีที่มีการเผยแพร่ในนิตยสารการแพทย์ Lancet ชี้ว่า Sinovac มีผล 83-87% ในการป้องกันอาการหนักในกรณีติดเชื้อ(ทั้งสามตัวอย่างคือสถิติจากผู้ที่ฉีดแล้ว 2 เข็ม)
.
ตามสถิตินี้ทั้งสามชนิดวัคซีนมีผลในการคุ้มครองลดความอันตรายของไวรัส และแม้ว่ามาตรฐานการคุ้มครองจะต่างกันจริง แต่ไม่มากพอที่จะเสี่ยงปฏิเสธวัคซีนชนิดใดชนิดหนึ่งเพื่อรอประเภทวัคซีนที่มีผลสูงกว่า
.
เทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตสามวัคซีนนี้ต่างกันตามที่ทุกคนทราบดี ผมเองพอใจกับระดับความเสี่ยง กับเทคโนโลยี และกับการคุ้มครองที่ได้รับจาก AstraZeneca ปัญหาคือวัคซีนมาช้า ช่วงนี้คนไทยจึงต้องป้องกันตัวเองอย่างที่สุดครับ ตามเป้าหมายของท่านนายกที่จะฉีด 100 ล้านโดสภายในสิ้นปีนั้น วันนี้ยังห่างไกล ขาดไป 88 ล้านโดส
.
ช่วงนี้ผมดูบอลยูโร ผมเห็นแฟนเชียร์บอลที่อังกฤษกันแล้ว มั่นใจได้ว่าการแพร่เชื้อรุนแรงขึ้นแน่นอน แต่เขาประเมินว่า ‘เอาอยู่’ เพราะส่วนใหญ่ฉีดวัคซีนกันแล้ว และหวังว่าติดเชื้อก็จะไม่เป็นภาระมากเกินไปกับระบบสาธารณสุข ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องรอดูต่อไป แต่ที่มั่นใจได้คือรัฐต้องเร่งรัดเรื่องวัคซีน
.