นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ ระบุว่า คำว่าขี้ข้าอยู่คู่สังคมไทยกันทั่วหน้า ทั้งรัฐบาลผู้นำมียศตำแหน่งสูงส่ง หรือทุนประสบสำเร็จล้วนเป็นขี้ข้า รอฟังคำสั่งทั้งสิ้น ดังนั้น เมื่อทุนสมคบการเมืองเป็นวงกลม จัดสรรแบ่งปันผลประโยชน์กันชื่นมื่น ประชาชนจึงเป็นเพียงทางผ่านแล้วแบกหนี้ของขบวนการขี้ข้ากันทั่วหน้า
นายจตุพร กล่าวถึงกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ พูดกับคนไทยในสหรัฐกับการเป็นขี้ข้าจึงประสบสำเร็จ เมื่อกลับไทยมาขอโทษที่หลัง โดยอ้างเป็นคนพูดตรงไปตรงมา ว่า ตนขอบอกว่า นายกฯ ไม่ต้องขอโทษเรื่องคำว่าขี้ข้าเลย เพราะคำนี้มีอยู่ทุกแวดวงสังคมไทย แม้บางคนดูเสมือนเป็นผู้นำสูงสุด มียศตำแหน่ง หน้าที่ใหญ่โต แต่เป็นขี้ข้าเหมือนกัน เพราะต้องรับคำสั่งซึ่งปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้น ทุกคนล้วนเป็นขี้ข้าทั้งสิ้น
อีกทั้งระบุว่า บางคนก่อนประสบความสำเร็จต้องเป็นขี้ข้าก่อน ส่วนบางคนประสบความสำเร็จแล้วยังเป็นขี้ข้าอยู่ก็มีมากมาย ดังนั้น คำนี้จึงเป็นคำตรงไปตรงมา และคำนี้ได้ประดับไว้ในสังคมไทยเรียบร้อยแล้วในการเมืองการปกครองของประเทศ
นายจตุพร ยังกล่าวถึงเจ้าสัวธุรกิจผูกขาดสนับสนุนการแจกเงินดิจิทัลหมื่นบาทว่า โดยก่อนหน้าที่นายเศรษฐา จะไปประชุมที่สหรัฐได้เรียกดีเอสไอมาตวาดใส่ให้ปราบหมูเถื่อนจริงจัง เพราะหมูเถื่อนได้ก่อผลกระทบกับธุรกิจขายหมูของเจ้าใหญ่ในไทยจนช่วงไตรมาสสามปี 2566 ขาดทุนประมาณ 1,800 ล้านบาท อาจเป็นด้วยเหตุนี้ นายกฯ จึงส่งเสียงดังสั่งให้ปราบเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจหมูเถื่อนนำเข้าจากประเทศเนเธอร์แลนด์ และบราซิลมาไทยนั้น แม้มีค่าขนส่งจำนวนมาก แต่ยังมีกำไรเป็นหมื่นล้านบาทได้ ดังนั้น ต้นทุนและราคาขายหมูในตลาดไทยไม่ควรสูงกว่าหมูเถื่อนที่นำเข้าจากยุโรปและอเมริกาใต้ด้วย
“ถ้าตลาดหมูในเมืองไทยมีต้นทุนถูกลง ผู้เลี้ยงจะมีกำไรมากขึ้น สามารถลืมตาอ้าปากได้มากขึ้น ดังนั้น ควรนำกรณีหมูเถื่อนมาบูรณาการกับการเลี้ยงหมูในไทย โดยผู้เลี้ยงกับผู้ครอบครองกิจการเจ้าใหญ่ตลาดหมูในไทยต้องยึดมั่นในความยุติธรรมต่อกันด้วย”
นายจตุพร กล่าวว่า คงเป็นเพราะนายกฯ เสียงดังตวาดให้ปราบหมูเถื่อนอย่างจริงจังก็เป็นได้ เมื่อนายเศรษฐา กลับจากสหรัฐมาไทยจึงได้รับคำชื่นชมจากเจ้าสัวที่ครอบครองธุรกิจตลาดหมู โดยสนับสนุนในการกู้เงินดิจิทัล 5 แสนล้านบาท ถ้าถามว่าร้านสะดวกซื้อจากการควบรวมใหญ่ และรายเล็ก ซึ่งมีทุกแห่งทั้งปั้มน้ำมันในไทยและทุกหนแห่งแล้ว ใครเป็นเจ้าของและใครจะได้ประโยชน์จากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
“เมื่อเจ้าใหญ่ของผู้ผลิตและผู้ขายสินค้าเห็นแก่ตัว และร้านสะดวกซื้อจะเป็นระดับเล็กหรือใหญ่ก็เป็นเจ้าเดียวกันทั้งนั้น ทั้งผู้ผลิตและผู้ขายล้วนมีตัวเลขกำไรมโหฬาร ดังนั้น การพูดอย่างไรก็ต้องสนับสนุนดิจิทัลที่ได้กำไรทั้งต้นทางและปลายทางอยู่ดี แล้วประเทศจะอยู่กันอย่างไร”
พร้อมกล่าวว่า ถ้าประเทศไทยเกิดสมคบกันเป็นวงกลม แล้วผลประโยชน์แจกจ่ายกันได้ตั้งแต่อนาล็อคยันดิจิทัล รวมทั้งผลประโยชน์ทางการเมืองด้วย อะไรก็คิดแผลงๆ กันได้ หากประเทศยังพอจะมีหลักกันอยู่บ้าง การกู้เงิน 5 แสนล้านบาทต้องผิดตาม ม.53 ของ พรบ.วินัยการเงินการคลัง ปี 2561
“ถ้าเป็นไปตามข่าวที่ปรากฎว่า กฤษฎีจะตรวจสอบร่าง พรบ.กู้เงินของรัฐบาลเสร็จในสัปดาห์หน้าแล้ว งบประมาณรายจ่ายปี 2567 ก็ยังไม่ได้พิจารณาในสภา ดังนั้น การกู้เงินที่จะอ้างว่า จำเป็นเร่งด่วน ต่อเนื่อง และเป็นวิกฤตประเทศ ก็ไม่เข้าตามลักษณะองค์ประกอบและเงื่อนไขของ ม.53 สักข้อเดียว”
นายจตุพร กล่าวว่า ถึงจะมีการประสานประโยชน์กันทั้งทางการเมืองและธุรกิจก็ตาม แต่หนีองค์ประกอบตามกฎหมาย ม.53 ไปไม่ได้ ดังนั้น จึงมั่นใจว่า นายเศรษฐา ไม่ได้แจกเงินดิจิทัลอย่างแน่นอนไม่ว่าจะหลุดรอดในขั้นไหนก็ตาม ทั้งขั้นตอนกฤษฎีกา ครม. สภา สส.-สว. หรือศาล รธน. และยิ่งเริ่มเห็นคนได้ประโยชน์ชัดเจน ส่วนประชาชนเป็นแค่ทางผ่านที่ได้ประโยชน์รับเงินหมื่นบาทเท่านั้น
อีกทั้งระบุว่า เงินกู้ยังต้องเสียดอกเบี้ย ซึ่งเป็นภาระให้ประชาชนชดใช้ ส่วนกลุ่มทุนล้วนสนับสนุนในทุกรัฐบาล ไม่ได้เปลี่ยนหน้าไปเลย เพียงแต่จะเลือกแบ่งผลประโยชนให้แต่ละรัฐบาลแบบไหนเท่านั้น ถึงที่สุดทุนก็ได้ประโยชน์อยู่ดี
“กลุ่มทุนจึงไม่มีความรู้สึกทางการเมือง มุ่งเอาแต่ประโยชน์จากทุกรัฐบาลทั้งเป็นรัฐบาลมียศตำแหน่งนำหน้า หรือผู้นำที่ประสบความสำเร็จมาก็ตาม แสดงถึงการเมืองเป็นขี้ข้าอยู่ดี เพราะสุดท้ายทุนได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว ขอให้โชคดี”
ประเทศไทยต้องมาก่อน