หน้าแรกข่าวเด่น'จตุพร'กลืนเลือดแฉเกมอำมหิต!!ย้อนเหตุปราบเสื้อแดงปี 53 เจ้าของเวทีวางแผน'เหี้ยมเกินมนุษย์'สั่งยิงถล่มพวกเดียวกัน

‘จตุพร’กลืนเลือดแฉเกมอำมหิต!!ย้อนเหตุปราบเสื้อแดงปี 53 เจ้าของเวทีวางแผน’เหี้ยมเกินมนุษย์’สั่งยิงถล่มพวกเดียวกัน

วานนี้(29 ม.ค.) นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน และอดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน”หน้าไหว้ หลังหลอก” โดยเปิดใจเล่าถึงเหตุการณ์เสื้อแดงชุมนุมกลาง กทม. แยกราชประสงค์ เมื่อปี 2553 ว่า เหตุการณ์ช่วงนั้นนอกจากมีอันตรายจากทหารล้อมปราบด้วยอาวุธสงครามอย่างไร้ปราณีแล้ว เจ้าของเวทียังตั้งชุดใหม่เตรียมมาซ้อนยึดเวที พร้อมวางแผนเหี้ยมสิ้นความเป็นมนุษย์ให้ยิงถล่มพวกเดียวกันหน้าเวที ขณะที่ตัวเองยังตกเป็นเป้าสังหาร แต่ไม่รู้มีอะไรดลใจให้มือทำงานคนสำคัญไม่ยอมทำตามคำสั่ง
.
นายจตุพร กล่าวว่า การกล่าวหาล่าสุดของนายอดิศร เพียงเกษ ซึ่งอุปมาอุปไมยการชุมนุมต่อสู้ของคนเสื้อแดงในปี 2553 กับการนั่งรถไฟลงสถานีบางซือ เพราะได้วันเลือกตั้งควรจะหยุดชุมนุม หรือการไปต่อสถานีหัวลำโพงนั้น ความจริงเรื่องนี้ไม่มีการคุยอย่างตรงไปตรงมา เพราะทุกคนไม่ต้องการขยายบาดแผล ความตาย ให้ญาติมิตรต้องเจ็บปวดใจ เมื่อนายอดิศรตั้งใจจะมาพูดถึงบางคนลงที่บางซื่อและบางคนไปลงหัวลำโพง จึงจำเป็นต้องอธิบายความ
.
นายจตุพร กล่าวว่า ให้ทบทวนสถานการณ์ในสมรภูมิชุมนุมปี 2553 อย่างช้าๆ พร้อมเล่าว่า โดยช่วงนั้นมีเหตุการณ์ความตายจำนวนมาก จนหลายคนแบกรับสถานการณ์ไม่ไหว ตนรู้สถานการณ์จะมีอีกชุดหนึ่งขึ้นซ้อนยึดเวทีชุมนุม เพราะไม่เห็นด้วยหากยุติเวทีชุมนุม อีกทั้ง เมื่อมีการประชุุมแกนนำในตู้คอนเทนเนอร์หลังเวทีชุมนุม ทุกคนให้ยุติการชุมนุมว่า ได้เวลาเลือกตั้งแล้ว มีแต่ตนคนเดียวให้ชุมนุมต่อไป โดยตนอธิบายในสถานการณ์นั้น ประการแรกว่า มีหีบศพมากมายที่เกิดขึ้น ดังนั้นนักการเมืองเมื่อได้หีบบัตรเลือกตั้ง แล้วทิ้งหีบศพจะตอบคำถามกับญาติผู้ชุมนุมที่ตายไม่ได้เลย
.
นายจตุพร ระบุว่า ส่วนประการที่สอง ตนบอกว่า เมื่อแกนนำขึ้นไปกล่าวยุติการชุมนุมก็จะมีอีกชุดหนึ่งเข้ามาซ้อนยึดเวทีแทน ซึ่งจะยิ่งทำให้สถานการณ์ตรึงเครียดและความตายจะมากกว่าเดิม เพราะเราสู้ทางการเมืองจึงต้องยืนยันในแนวทางสันติวิธี ถ้ามีการสู้ทางการทหารเมื่อไรก็พังทันที ดังนั้น เวทีต้องเดินต่อไป จึงไม่ควรทิ้งประชาชนเพื่อไปเอาหีบเลือกตั้ง แล้วต้องเดินลงเวทีอย่างคนอัปยศอดสูที่สุด
.
“เพราะเจ้าของจ่ายค่าเวทีตัวจริงนั้น เขาไม่ต้องการให้ยุติเวที แต่ทุกคนถอดใจหมดแล้ว ผมอธิบายให้ฟังว่าประชาชนอย่างไรก็ไม่กลับ เมื่อเขาไม่กลับแล้ว คิดจะลงเลือกตั้งคุณจะมีหน้าไปพบคนอีกหรือ ถ้าวันนั้นไม่มีการคิดเอาอีกชุดหนึ่งซ้อนยึดเวทีแล้ว ก็ยังพอถูไถอธิบายกับประชาชนได้”นายจตุพร เล่าถึงเหตุการณ์การประชุมหารือยุติชุมนุม ซึ่งในช่วงนั้น พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ยังไม่ถูกสไนเปอร์ยิงเสียชีวิต
.
นายจตุพร ระบุว่า ทุกคนเห็นให้ยุติการชุมนุม แล้วเราก็กล่าวคำลากัน ตนพูดทิ้งท้ายว่า เมื่อพฤษภา 2535 ตนอยู่ในบรรยากาศนำการต่อสู้คนเดียวที่รามคำแหงมาแล้ว จึงขออยู่ส่งประชาชนต่อ จากนั้นก็แยกย้ายกันไป ขณะนั้นมีการวางแผนซ้อนยึดเวทีอยู่แล้ว และคนที่ทำได้มีอยู่คนเดียวเท่านั้น ซึ่งพอประชุมแกนนำเสร็จ ตนได้รับโทรศัพท์จากทักษิณ ชินวัตร โทรมาถาม ซึ่งเรื่องนี้ตนไม่ควรพูดเลย แต่เมื่อนายอดิศร ยกเหตุการณ์มาตอบโต้ จึงจำเป็นต้องเล่า ทักษิณ บอกว่า “หยุดเวทีได้อย่างไร ผม (ทักษิณ) ได้อะไร”
.
นายจตุพร กล่าวว่า ตนรู้เรื่องนี้มาแต่ต้นว่า จะมีการซ้อนยึดเวทีชุมนุมขึ้น แล้วจะเกิดความรุนแรงไปอีกมุมหนึ่ง และจะคุมประชาชนไม่อยู่ จึงจำต้องหักทุกคน ตนบอกทักษิณว่า ถ้าอย่างนั้น เพื่อให้เวทีเดินต่อ ส่วนแกนนำคงอยู่ไม่ครบแล้ว ทั้งๆที่ช่วงนั้นแกนนำเหลือตนอยู่คนเดียว เราจึงตกลงกันว่า คนที่เคยเป็นลูกพรรคของทักษิณ ก็ให้ไปเคลียร์กันเอง ส่วนบรรดาสายนักเคลื่อนไหวตนจะเคลียร์
.
“ทักษิณก็ไปเคลียร์กับนักการเมือง ผมก็เคลียร์กับนักเคลื่อนไหว เวทีจึงเดินมาถึง 18 พ.ค. วันที่วุฒิสภามาเจรจา และมาเกิดเหตุการณ์ 19 พ.ค. ซึ่งเป็นความเจ็บปวดขมขื่น วันนั้นถ้าเราไม่ยืนแข็งแรงแล้ว อีกทั้งประชาชนหน้าเวทีก็ไม่กลับ เจ้าของเวทีก็ไม่ให้เลิก และอีกชุดหนึ่งจะเข้ามาซ้อนยึดเวที ผมจึงอยู่คานกันเอาไว้ เพราะในทุกนาทีของสถานการณ์มีโอกาสตาย 100% อยู่แล้ว…และหากใครได้ยินเรื่องทำนองนี้มาก่อน ก็บอกได้เลยว่า ไม่ได้ออกจากปากผม ผมเพิ่งเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ทั้งๆ ที่ไม่อยากเล่าเลย”นายจตุพร กล่าว
.
นายจตุพร ระบุว่า ที่เล่าให้ฟัง เพราะนายอดิศร ยกเรื่องชุมนุมปี 2553 มา โดยวัน 19 พ.ค.บนเวที คนที่มีบทบาทมากที่สุดคือ ธนาวุฒิ วิชัยดิษฐ์ คอยกันไม่ยอมให้ตนขึ้นเวที เพราะสถานการณ์ช่วงนั้นมีความเสี่ยงต่อชีวิตมากมาย ทหารล้อมหมด ขยับใกล้มาถึงจุดสุดท้ายที่เวทีทุกขณะ อารมณ์คนอยู่หน้ามีแต่คนแก่และผู้หญิงประมาณ 500 คน ซึ่งพร้อมตายกัน เวลานั้นตนนอนบนเก้าอี้ผ้าใบหลังเวที เดี๋ยวมีคนมาลาจากไป แต่เรารอเวลา จึงลุกขึ้นไปบนเวทีเพื่อยุติการชุมนุม ถ้าไม่ยุติความตายอย่างรุนแรงก็จะเกิดขึ้นกลางเวทีเพราะเป็นจุดสุดท้าย
.
“ผมเล่ามาถึงตอนนี้เพื่อจะบอกว่า หลายปีต่อมา มืองานคนสำคัญอีกชุดหนึ่ง (ชุดซ้อนยึดเวที) มาเล่าให้ฟังว่า วันนั้น (19 พ.ค.) มีการวางแผนกันจะยิงถล่มเวที ขณะที่ขึ้นกล่าวยุติการชุมนุม แต่มีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาไม่ตัดสินใจทำ…อีกทั้งการซ้อนยึดเวทีนั้น ผมได้ยินมาเช่นกันว่า มีการร้องขอจากฝ่ายเดียวกันให้จัดการผมเอง (ตกเป็นเป้าถูกสังหาร) ด้วยซ้ำไป” นายจตุพร กล่าว
.
นายจตุพร เล่าว่า ทั้งหมดทั้งปวงนั้น เพื่อชี้ให้เห็นว่า การตัดสินใจในเรื่องอุปมาอุปไมยลงสถานีหัวลำโพงกับบางซือนั้น ตนไม่โทษนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ ที่ประกาศลาออกจากประธาน นปช. เพราะลูกชายถูกเอาปืนจี้ทุกเรื่องราวต้องเปลี่ยนแปลงไป แต่ตนมีการข่าวจึงรู้สถานการณ์ว่า ถ้าตัดสินใจลงเวทีที่บางซือ จะถูกอีกชุดหนึ่งขึ้นไปยึดเวทีทันที ด้วยเหตุนี้การลงสถานีหัวลำโพงจึงเป็นความจำเป็น เพราะมิเช่นนั้นมันจะมีความตายกับการลงบางซืออาจหลายร้อยศพขึ้นมา ดังนั้นที่ลากไปหัวลำโพงเพื่อลดความตายที่จะเกิดขึ้น เพราะเจ้าของเวทีเขาก็เตรียมการอีกชุดหนึ่งไว้เผด็จศึกชุดเดียวกันอยู่แล้ว
.
“คุณอดิศรยกเรื่องนี้มาก็ดีแล้วว่า วันนั้นที่ผมต้องไปหัวลำโพง และถ้าผมลงบางซือตามคุณอดิศรและอีกหลายคนไปวันนั้น ที่นั่น (หน้าเวทีชุมนุม) เลือดจะนองท้องช้าง เพราะว่าเจ้าของเวทีเขาไม่ยอม เนื่องจากมีอีกชุดหนึ่งคนของเจ้าของเวทีเตรียมแผนยึดเวที แล้วเราก็จะเป็นหมาเลย…วันนี้เรื่องที่ไม่ควรจะเล่า เมื่อเล่าแล้วคนที่ต้องชักตาตั้งจะเป็นอีกคนหนึ่ง เมื่อต้องการฟื้นฝอยหาตะเข็บ ก็จะจัดให้”นายจตุพร กล่าว
.
นายจตุพร เปรียบเปรยว่า เจ้าของรถไฟ (เจ้าของเวทีชุมนุม) ไม่ต้องการให้จอดลงที่บางซือ เพราะเขาสั่งเอง ถ้าลงบางซือก็ตายกันเบือ และหลังจากนั้นจะมีคนมายึดแล้วเวที แล้วสถานการณ์จะร้อนแรงขึ้น ตายเป็นเบือ เพราะเขาบอกเอง เป็นเกมอำมหิต ตนไม่เล่นด้วย แต่ทุกคนทิ้งไปหมดแล้ว ด้วยการเข้าใจสถานการณ์ไม่เหมือนกัน แต่ไม่รู้ได้รับสั่งจากเจ้าของเวทีหรือไม่
.
ส่วนกรณีนายอดิศร บอกว่า ตัวเองไม่ได้เป็นแกนนำนั้น นายจตุพร กล่าวว่า แกนนำเป็นนามสมมุติ และเวลานี้ตนไม่ได้ใช้ตำแหน่งประธาน นปช.เลย แต่ละคนก็ไปใช้ตำแหน่งอื่นหมดแล้ว นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ไปใช้ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ก็ใช้ชื่อทวงคืนความยุติธรรม ส่วนตนใช้คณะหลอมรวมประชาชน ไม่มีใครใช้ตำแหน่งประธาน นปช. ซึ่งหมายความว่า ในทางชื่อของตำแหน่งจึงยุติกันไป เพราะต่างคนต่างไม่ใช้กัน
.
นายจตุพร กล่าวว่า กรณีกล่าวหาเงินบริจาคช่วงชุมนุมนั้น ทุกคนรู้ว่า ตนไม่ยุ่งกับเงินในการชุมนุมเลย นายอดิศร ฟังนะ พวกตนจัดรายการมาเพื่อไล่ 3 ป. แต่ไม่เกี่ยวกับทักษิณ เลย เมื่อทักษิณมาข้องแวะดูถูกความเป็นมนุษย์กันนั้น ถ้าเป็นขี้ข้าถาวรก็อาจทนได้ และตนยอมรับบางเวลาก็เป็นขี้ข้าเหมือนกัน แต่ตนก็ใฝ่ฝันถึงวันอิสรภาพเช่นกัน
.
นายจตุพร กล่าวว่า การที่ตนยอมให้ถูกกระทำในบางช่วงเวลานั้น ก็ดูเสมือนหนึ่งเป็นขี้ข้าเช่นกัน แต่ไม่ใช่ตนไปสยบยอม เนื่องจากระหว่างทางต่อสู้มีเรื่องราวความตายมากมายไปหมด แต่ที่ยอมกันนั้น เพราะประชาชนตาย มันเลือดท่วมปาก ไม่อยากพูด และประชาชนบาดเจ็บไม่อยากได้ยินเรื่องเหล่านี้เช่นกัน แต่เมื่อนายอดิศร หยิบยกเรื่องนี้มา จึงชี้แจงให้เข้าใจ เพราะช่วงเหตุการณ์นายอดิศรข้ามไปอยู่ฝั่งลาวแล้วไปเขมรอยู่กับแรมโบ้แล้ว
.
“เรื่องเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ผมก็กล้ำกลืนเลือดนะ ส่วนพวกคุณจะแลนด์สไลด์ก็เรื่องของคุณไป แต่การพยายามอธิบายใส่ร้ายว่า ผมรับเงิน ถ้ารับเงินแล้ว เวลา 8 ปีผมจะสู้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ และสู้จนต้องถูกจับไปขังคุกอยู่เรื่อยอีกด้วย”นายจตุพร กล่าว
.
นายจตุพร กล่าวว่า ส่วนกรณีกล่าวหาว่า สู้แล้วรวยนั้น ในบรรดาแกนนำนั้น ตนสาหัสที่สุด ย้ายที่ทำการสถานีโทรทัศน์ออกจากอิมพีเรียล ลาดพร้าว เนื่องจากเมื่อตนถูกหลอกลวงไปทำลายแล้ว จึงอยู่ไม่ได้ มาสร้างที่ใหม่ก็ลำบากที่สุด ไม่มีเงินสร้างให้เสร็จเสียด้วยเลย และกำลังล้มความตั้งใจไม่สร้างต่อแล้ว แต่หลานตัวเองที่ประสบความสำเร็จในการงานมาช่วยสร้างให้ฟรีๆ จนสำเร็จเป็นรูปร่างสถานีในปัจจุบันนี้ มันไม่ได้รวยอะไรเลย แต่ก็สร้างเสร็จจนได้
.
นายจตุพร กล่าวว่า อีกอย่าง สถานีโทรทัศน์ มีรายได้หลักมาจากสินค้าขายตรง จัดรายการวิพากษ์วิจารณ์การ รปห.และ พล.อ.ประยุทธ์ จนถูกรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ สั่งตัดสปอร์ตเซอร์ หายไปหมดประมาณเดือนละ 2 ล้านถึงกับน็อคเลย จึงต้องปิดสถานี มีหนี้สิน และหนี้พนัก ค้างจ่ายค่าชดเชยด้วย เมื่อนายอดิศร บอกว่ารวยมากก็มารับภาระที่นี้หรือไม่
.
“เราอยู่ท่ามกลางปัญหาแบบนี้ การบอกว่าสู้แล้วรวยไม่ใช่ผมแน่นอน อดิศรต้องไปสืบเองว่า ใครรวย ที่เล่าให้ฟังนั้น เพราะอดิศรมาตั้งคำถามเอง เราบอกหลายครั้ง การทำสงครามกับหมู่มิตรมันลำบากใจมาก แต่ถ้าที่สุดถึงขั้นต้องสู้ ก็ต้องสู้กัน ที่คุณกล่าวหาว่าขัดขวางแลนด์สไลด์อะไรนั้น เมื่อถึงวัน ผมจะทำตามที่กล่าวหานะ แม้วันนี้ยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
.
นายจตุพร กล่าวถึงกรณีเพื่อไทยจะร่วม พปชร.หรือไม่ ว่า ก่อนหน้าแกนนำแต่ละคนให้ข่าวเปิดกว้างจนถูกวิพากษ์วิจารณ์ จนต้องมาแถลงว่า เพื่อไทยจะไม่จับมือกันใครก่อน ซึ่งไม่ได้บอกว่าจะไม่จับมือกับใคร แล้วมาล่าสุดเมื่อถูกถามถึงการจับมือแล้วตอบเองว่า ยังไม่ได้คุย ไม่ได้ดีล แต่ไม่ได้แปลว่า จะไม่ได้ดีล หรือจะไม่คุย หรือจะไม่ร่วม หรือร่วม พปชร. ถ้าบอกว่าร่วมจะทำให้ประชาชนตัดสินใจลงคะแนนได้ว่าเลือกหรือไม่เลือกเพื่อไทย ซึ่งแฟร์กับประชาชน หากตอบไม่ร่วม พปชร.แต่ไปร่วมหลังเลือกตั้งแล้ว ก็จะเป็นสถานการณ์ซ้ำเดิมกับพฤษภามิฬ 2535
.
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา เพื่อไทยแสดงพฤติกรรมไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่มั่นคงในสัจจะวาจา เช่น กรณี พรบ.สุดซอย เป็นตัวอย่างได้ชัดเจน โดยผู้บริหารพรรคมาแถลงกฎหมายสุดซอยวาระแรกเป็นสัญญาประชาคมว่า ให้เฉพาะประชาชนเท่านั้น ไม่ให้แกนนำ และคดีทุจริต หรือ บอกไม่มีวาระซ้อนเร้นใดแทรกเข้ามา ถัดมาคนเดียวกันอีกก็แถลงอธิบายขยายการครอบคลุมในกฎหมายสุดซอย แล้วคนเดียวอีกต้องมาแถลงเป็นครั้งที่สาม เพื่อบอกถึงความจำเป็นต้องถอนกฎหมายสุดซอย ถึงที่สุดแล้ว ในสถานการณ์นั้นประชาชนเสียโอกาส ฉิบหายไปแล้ว”นายจตุพร กล่าว
.
นายจตุพร กล่าวว่า อีกกรณีหนึ่ง ทักษิณ ตัดสินใจไม่ให้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงนายกฯ ครั้งต่อไป โดยตระกูลที่เกี่ยวข้อง 3 ตระกูลให้ยิ่งลักษณ์ ลง ส.ส.บัญชีอันดับ 11 เพื่อเป็นสัญลักษณ์พรรค แต่ไม่เป็นตำแหน่งนายกฯ ซึ่งกำหนดวันจะแถลงข่าวในวันเดียวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. แถลงชัตดาวน์ กทม. อย่างไรก็ตาม เมื่อยิ่งลักษณ์ กลับจากตระเวณอีสานก็มาคิดเป็นนายกฯ ต่ออีก แสดงถึงการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เหมือนการกลับบ้านเดี๋ยวกลับเดี๋ยวไม่กลับ
.
“ผมก็เคยบอกแล้วว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรที่จะไปขัดขวางแลนด์สไลด์ คนเพื่อไทยก็ยืนยันว่าไม่กระทบกับแลนด์สไลด์ ผมอยู่ดีๆ และบอกว่า ถ้าผมไม่ถูกย่ำยีก่อน ผมก็ต้องกล้ำกลืนเลือดกันต่อไป เพียงแต่ครั้งนี้กลืนไม่ไหวแล้ว” นายจตุพร กล่าว
.
นายจตุพร กล่าวย้ำว่า กรณีนายอดิศร ชี้แจ้งใหม่ด้วยท่วงทำนองแบบน้ำกรดแช่เย็น ถึงคำพูดว่ายังภักดีกันอาจเป็นยาพิษอยู่บ้างก็ตาม แม้ตนจะมีความสัมพันธ์บนเวทีปราศรัยเพื่อไทยและขบวนการเสื้อแดง ก็ต่างคนต่างทำหน้าที่ร่วมกันไป แต่เมื่อเกิด รปห. 2549 ตนก็ลาจากตำแหน่งโฆษกพรรค เพื่อไปสู้กับคณะยึดอำนาจชุดนั้น
.

ThePoint #ข่าวการเมือง #จตุพรพรหมพันธุ์ #เสื้อแดง #นปช. #สลายม็อบเสื้อแดง #เสื้อแดงแยกราชประสงค์ #สลายม็อบ2553

Must Read

Related News

- Advertisement -