จากกรณี น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล ที่เสนอตัวเป็น รมว.คลังในการจัดตั้งรัฐบาลที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ ออกรายการเว็บไซต์ลงทุนแมน เจอชาวเน็ตโวยประเทศไม่ใช่ตลาดนัด ชี้นโยบายกระทบตลาดทุน คนรวยโดนรีด คนจนก็ไม่รวยขึ้น
.
ด้านนายประกิต สิริวัฒนเกตุ นักกลยุทธ์การลงทุน กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงนโยบายของพรรคก้าวไกล ระบุว่า
“ไม่แย่ แต่ ไม่ใช่
ได้ฟังว่าที่ รมต.คลัง คุณไหม ศิริกัญญา ตันสกุล ให้สัมภาษณ์ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆของ ลงทุนแมน (ฟังไปจัดๆ 3 รอบ)
หลายคำถามที่ชวนให้กังวล ได้รับคำตอบที่ต้องบอกว่ายอมรับได้ (ไม่แย่) แต่อีกหลายคำถามที่เกี่ยวพันกับการเติบโต โดยเฉพาะตลาดทุน ยอมรับเลยว่า เหนื่อยแน่ๆ
เนื้อหาการให้สัมภาษณ์จะแบ่งเป็น 2 ช่วง
ช่วงแรกคุณศิริกัญญา จะพูดถึงเป้าหมายและนโยบายที่พรรคก้าวไกลจะทำ
- เศรษฐกิจต้องโตอย่างเป็นธรรม ในอดีตเศรษฐกิจโตก็จริง แต่ดอกผลการเจริญเติบโตไม่ได้รับการกระจายอย่างเป็นธรรม
- มุ่งเน้นการกระจายรายได้ให้ เกษตร SME และแรงงาน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
- จัดการกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันการค้า (ทลายทุนผูกขาด) โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการทำสัญญาผูกขาดกับรัฐบาล เช่น ธุรกิจเครื่องดื่มมึนเมา
- เรื่องของการเติบโต เน้นไปที่เพิ่มศักยภาพของแรงงาน เน้นการสนับสนุนอุตสาหกรรมไฮเทค เช่น ชิบ และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เน้นเรื่องข้อมูลที่ทุกคนสามารถนำข้อมูลบางส่วนของรัฐไปใช้ได้
- ค่าไฟ จะเร่งคุยกับ กกพ ปรับค่า FT ลง (ปกติจะมีการปรับทุกๆ 4 เดือน) ดังนั้นค่าไฟน่าจะลดลงได้ภายใน ธค ทันกรอบ 100 วันแรก
ส่วนที่ 2 คือ เน้นตอบคำถามต่างๆ
- เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาทต่อวัน มองว่าเป็นความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการขึ้นค่าแรงสู่ดุลยภาพ เพราะที่ผ่านมาค่าแรงขึ้นเฉื่อยและไม่ทันกับเงินเฟ้อ
- จะมีมาตรการชดเชย เยียวยา ให้กับ SME ในช่วงเปลี่ยนผ่าน เช่น งดการนำส่งเงินสมทบประกันสังคมได้ 6 เดือน ค่าจ้างนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า และปรับลดภาษีนิติบุคคลให้กับ SME (25% เหลือ 10%) การลงทุนในเครื่องจักรสามารถนำมาลดภาษี 1.5-2 เท่า
- เช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายใหญ่ นำการลงทุนในเครื่องจักรมาหักลดหย่อนภาษีได้ 1.5-2 เท่า
- ช่วงเปลี่ยนผ่าน มีความยืดหยุ่น ผู้ประกอบการสามารถขอเลื่อนหรือขยายเวลาในการปรับขึ้นค่าแรงได้
- ความกังวลว่าจะมีการย้ายฐานการผลิต จะแก้ด้วยการเพิ่มทักษะของแรงงาน (labor productivity) เพื่อเป็นการแก้ปัญหาระยะยาว ด้วยการสร้างแพลตฟอร์มที่จะช่วยให้แรงงานเพิ่มทักษะได้ในระยะเวลาสั้นๆ (รัฐบาลจะอุดหนุนครั้งใหญ่ในเรื่องนี้)
- เรื่องทลายทุนผูกขาด มองทุนผูกขาดคือทุนที่มีอำนาจเหนือตลาด หากได้มาด้วยการมีนวัตกรรมของตัวเองอันนั้นโอเค แต่เมื่อไหร่ที่ได้อำนาจเหนือตลาด จากการใกล้ชิดกับรัฐหรือได้มาโดยสัมปทานที่ไม่ได้มีการประมูลอย่างโปร่งใส หรือได้มาเพราะควบรวมโดยยังไม่มีกฎหมายควบคุม พวกนี้จะเข้าไปทลายด้วยการออกมาตรการจัดการ รวมไปถึงยกเครื่องกฎหมายการแข่งขันการค้า
- วิธีการทลายทุนผูกขาด กลุ่มโรงไฟฟ้า ไม่สามารถไปยกเลิกสัญญาสัมปทาน แต่จะแก้ด้วยการเจรจาเพื่อแก้สัญญา เช่นรัฐบาลจะขอเลื่อนการจ่ายค่าความพร้อมจ่ายแลกกับการขยายเวลาสัญญา มองอนาคตกำลังไฟสำรองที่เกินความต้องการจะลดลง (เท่ากับว่าจะมีแผนลดการทำสัญญาโรงไฟฟ้าใหม่ๆ)
- จะมีการทบทวนสัญญาการรับซื้อไฟใหม่ อาจจะต้องมีการเปิดเสรีการซื้อขายไฟฟ้า (ทุกวันนี้มีการผูกขาดโดยรัฐ มีกฟผ เป็นผู้ซื้อผู้เดียว)
- กลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ตอนนี้เหลือผู้ประกอบการ 2 ราย จะปรับกฎระเบียบเปิดเสรีโทรคมนาคม และเร่งเจรจาหาผู้ประกอบการรายที่ 3 4 มากกว่าที่จะเข้าไปจัดการกับกลุ่มผู้ประกอบการเดิม
- มองเรื่องดัชนีหุ้นไทยที่ปรับลดลง บางส่วนมาจากตลาดเชื่อว่าก้าวไกลเอาจริงในการทลายทุนผูกขาด แต่สาเหตุใหญ่อื่นๆมาจาก 1.ตลาดหุ้นทั่วโลกลดลงด้วย 2.หุ้นมักจะลงหลังเลือกตั้ง 3. ฝรั่งขายเพราะความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเกิดจากปม รธน ปี 2560 ที่ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลมีความยากลำบาก
- การเก็บภาษีจากกำไรเงินลงทุน Capital Gain Tax (CGT) มีความเป็นธรรมกับนักลงทุนรายย่อยมากกว่าภาษีจากการขายหุ้น Financial Transaction Tax (FTT)
- มองว่าการลงทุนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น หุ้นกู้ พันธบัตร ที่ดิน หรือฝากเงินไว้ในธนาคารฯ ล้วนต้องเสียภาษี แต่การซื้อขายหุ้นกลับไม่เสียภาษี ถ้ามองที่ความเป็นธรรม การเก็บ CGT ดูเหมาะสมที่สุด อย่างไรก็ตามยังต้องมีการศึกษาผลกระทบ จากผู้ที่ไม่มีส่วนได้เสีย (ตอนนั้นเป็นพี่ทอมไพบูลย์ เป็นผู้ถาม และถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติที่ผู้เสียประโยชน์จะไม่เห็นด้วยกับ CGT)
- ภาษีจากความมั่งคั่ง wealth tax จะเก็บจากผู้ที่มีสินทรัพย์ (รวมหุ้นที่ถือด้วย) ลบหนี้สิน เกิน 300 ล้านบาท ส่วนที่เกินตั้งแต่บาทแรกจะเก็บ 0.5% มีอยู่ประมาณ 1 แสนรายทั่วประเทศ
- ไม่คิดว่า wealth tax จะทำให้การออก IPO ของบริษัทต่างๆลดลง เพราะผลกระทบน้อย การได้ประโยชน์จากการระดมทุน เทียบกับ cost of fund จากแหล่งอื่น การเสีย wealth tax ถือเป็นต้นทุนที่เล็กน้อย
- ภาษีทรัพย์สิน เป็นแนวทางหนึ่งในการลดความเหลื่อมล้ำ ที่ผ่านมาคนอาจไม่สบายใจในการเสียภาษี แต่วันนี้ก้าวไกลจะใช้ภาษีให้คุ้มค่า เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข สร้างสวัสดิการมีหลักประกันที่มั่นคงในชีวิต
- RMF ในการนำมาหักลดหย่อนภาษี ควรมีอัตราที่เป็นธรรม ไม่เกิน 15% (เพื่อไม่ให้ลดหย่อนมากจนเกินไป) ส่วน LTF ตอนนี้เป็น SSF มองว่าตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องดีมากแล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเอา LTF กลับมาอีก
- เห็นความสำคัญของตลาดทุน จะเน้นการเข้าไปทำให้เกิด fair game มุ่งเป้าไปที่ กลต. ในการจัดการเอาผิดผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย
- ภาษีนิติบุคคล มองว่ามีช่องว่าง Gap กับภาษีบุคคลธรรมดาที่กว้างมาก เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม จะมีการทยอยขึ้นภาษีนิติบุคคลจาก 20% เป็น 23% และปรับลดอัตราภาษีบุคคลธรรมดา
- จะไปมุ่งขึ้นภาษีที่ดินก่อน การขึ้นภาษีนิติบุคคล
- จะมุ่งไปที่รัฐสวัสดิการ (ไม่ถึงขั้นกลุ่มประเทศ Scandinavia Model) แต่ต้องให้ถึงขั้นสวัสดิการพื้นฐาน)
- แหล่งที่มาของเงิน แม้จะไม่ทำรัฐสวัสดิการ แต่โปรแกรมภาษีกำลังรออยู่ จากสภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้การ refinance พันธบัตรชุดต่างๆ ส่งผลให้รัฐบาลต้องจ่ายดอกเบี้ยในแต่ล่ะปีไปชนขอบวินัยการคลังภายในปี 2570 ดังนั้น ก.คลัง (รัฐบาลชุดก่อน) มีแผนอยู่แล้วในการจะขึ้นภาษีต่างๆ
- ก้าวไกลไม่เห็นด้วยกับการขึ้นภาษีดังกล่าว เพราะจะเป็นการไปไล่เบี้ยกับประชาชนคนเล็กคนน้อย เช่น VAT และยกเลิกการยกเว้นผู้มีรายได้ 1.5 แสนบาทแรก
- จะเน้นการเก็บภาษีจากผู้ที่มีความสามารถในการจ่าย และจัดการกับงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ ใช้งบประมาณฐานศูนย์ ตัดงบประมาณที่ไม่จำเป็นทิ้งไป และอุดรูรั่วเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง ใช้ AI จับโกง
- ภาษีที่ดิน ภาษีค่าเช่า และภาษีอื่นๆ จะต้องมีการขันน็อต เก็บให้มีประสิทธิภาพ
จากที่คัดย่อการให้สัมภาษณ์มา ผมขอสรุปตามความคิดเห็นของผมนะครับ
เป็นไปตามที่ Live ในทุกเช้าว่า เค้าจะมุ่งสู่การเป็นรัฐสวัสดิการ เน้นการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม ลดกำไรส่วนเกินของกลุ่มทุนใหญ่ ผ่านการขึ้น ค่าแรง ภาษี และเพิ่มคู่แข่ง ด้วยการสร้างความเข้มแข็งให้ SME
แม้จะไม่มีการไปยกเลิกสัญญา รวมไปถึงขวางการควบรวมที่เกิดขึ้นก่อนหน้า แต่จะมีการออกมาตรการ กฎหมายการค้าต่างๆ
ดังนั้นจากนี้ ประสิทธิภาพการทำกำไร การเติบโตของกลุ่มทุนใหญ่จะเหนื่อยและยากกว่าเดิม และกระทบกับการลงทุนแน่นอน
ส่วนความเหมาะสมของตำแหน่ง รมต.คลัง จากการฟังความคิดเห็นต่างๆ คุณศิริกัญญา มีความรู้ในสิ่งที่ตัวเองจะทำเป็นอย่างดี แต่ภาพเศรษฐกิจของประเทศ มันมีการเชื่อมโยงกันหลายส่วน หลายคำตอบยังไม่เคลียร์ และมีคำถามต่ออีกมากมาย
เช่น เรื่องการขึ้นค่าแรงมีความเฉื่อยและตามเงินเฟ้อไม่ทัน แล้ว ผลกระทบจากการกระชากค่าแรงขึ้น จะยิ่งเป็นการเร่งเงินเฟ้อหรือไม่ สุดท้ายแล้วต้องขึ้นค่าแรงรุนแรงไปเรื่อยๆหรือไม่
.
การกระชากค่าแรง ไม่มีวันทำให้ค่าแรงสู่จุดดุลยภาพเพราะขึ้นอย่างไรก็ไม่มีวันตามเงินเฟ้อทัน สิ่งที่ต้องทำคือกระชากทักษะแรงงานขึ้นให้ได้ก่อน และค่าแรงจะถูกนำขึ้นด้วยกลไกตลาดเอง
ส่วนการขึ้นค่าแรงจะทำให้มีการย้ายฐานการผลิตหรือไม่ คำตอบว่าต้องไปเร่งเพิ่มทักษะแรงงาน จึงยังเป็นคำตอบที่ชวนให้สงสัยว่า การขึ้นค่าแรงก่อนเพิ่มทักษะ กลุ่มทุนต่างชาติจะรอไหวไหม และที่สำคัญกลุ่มทุนต่างชาติที่มาตั้งฐานผลิตในประเทศไทยนั้น เค้ามาด้วยค่าแรงเราถูกและเหมาะกับงานที่ใช้ทักษะไม่สูงมิใช่เหรอ หากต้องการทักษะสูง ค่าแรงสูง เค้าจะย้ายฐานมาทำไม
ด้านการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม ไม่ใช่แค่ต้องมาจากรากฐานที่มั่นคง (firm ground) แต่ต้องมีโครงสร้างที่เข้มแข็ง (Framed Structure) และไม่ใช่แค่กติกาแข่งขันอย่างเป็นธรรม (Fair Game) แต่ระบบภาษีต้องยุติธรรมด้วย (Fair Tax) ด้วย
ประเทศไทยมีรายได้จากการเก็บภาษีปีหนึ่งราว 2.6 ล้านล้านบาท ในนั้น 3.68 แสนล้านมาจากภาษีบุคคลธรรมดา คนกลุ่มนี้คือผู้ที่ถูกหักภาษีทุกเดือนแบบอัตโนมัติ และส่วนใหญ่ไม่ใช่คนรวย
ผู้เสียภาษีคือฐานรายได้หลักของรัฐ คือกำลังสำคัญของระบบเศรษฐกิจ การเติบโตของผู้เสียภาษีจะทำให้เกิดการบริโภค และหมุนให้เศรษฐกิจเดินหน้า
เศรษฐกิจจะเติบโตได้ ต้องขยายฐานผู้เสียภาษีอย่างเป็นธรรม การทำมาหาได้ของทุกอาชีพต้องเข้าสู่ระบบภาษี ไม่มีข้อยกเว้น ไม่ใช่ไปมุ่งรีดภาษีจากผู้ที่เสียภาษีอยู่แล้วให้เสียภาษีมากขึ้น
ยิ่งรีดยิ่งแห้งตาย ผู้ที่ทำมาหาได้จะยิ่งเหมือนถูกลงโทษ เพราะนอกจากจะไม่ได้รวยมากพอที่จะได้สิทธิพิเศษจากรัฐ ความที่ไม่จนมากพอก็ทำให้ไม่ได้ประโยชน์ใดๆจากมาตรการหรือสวัสดิการต่างๆของรัฐด้วยเช่นกัน
ผลกระทบเรื่องนี้กลับไม่มีการพูดถึง เช่นเดียวกับความรู้ความเข้าใจในกลไกตลาดทุนต่อระบบเศรษฐกิจ
คำตอบที่ได้รับคือ ต้องมีการไปศึกษาก่อน
ตลาดทุนไม่ใช่ที่ๆมีแต่คนรวยอยู่ 90% ของคนในตลาดทุนไทยไม่ใช่คนรวย เป็นคนมีพอร์ตการลงทุนต่ำกว่า 5 ล้านบาท และหวังใช้ตลาดทุนเป็นหนึ่งในช่องทางการลงทุนเพื่อการออม เพื่อสร้างความมั่งคั่งไว้ใช้ในยามเกษียณ
นโยบายที่มุ่งเน้นที่รัฐสวัสดิการ แต่ลืมมองที่ความสำคัญของตลาดทุน ตลาดทุนไทยที่แย่อยู่แล้วจะยิ่งแย่ลงไปอีก ส่งผลลบต่อสถานะการออมของมนุษย์เงินเดือน สุดท้ายเมื่อความมั่งคั่งมีไม่มากพอ มันก็จะเหวี่ยงกลับมาเป็นภาระรัฐสวัสดิการ และผู้เสียภาษีในอนาคตที่จะถูกรีดเลือดมากขึ้น
ถ้าเรื่องความตั้งใจในสิ่งที่จะทำผมให้เต็มสิบ แต่ถ้าเรื่องความรู้ ความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจด้านอื่นๆ ทุกท่านลองไปฟังและให้คะแนนกันเอาเองนะครับ
ประกิต สิริวัฒนเกตุ
กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด