เลขาธิการ กกต. ชี้ ต้องรับรอง ‘พิธา’ เป็นส.ส.ก่อนฟันเรื่องคุณสมบัติ เหตุไร้ช่องดำเนินการ ทำได้แต่คดีอาญา ม.151 รู้ว่าสมัครไม่ได้ยังฝืน
เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2566 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. กล่าวถึงการพิจารณาคำร้องถือหุ้นสื่อของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลว่า เรื่องนี้มีปัญหาทางเทคนิคอยู่ คือผู้ร้องมาร้องก่อนวันเลือกตั้ง 2 วัน
กรณีมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ต้องร้องภายใน 7 วันก่อนวันเลือกตั้ง สำนักงานก็ต้องพิจารณาว่าสิ่งที่ร้องมีเหตุหรือมีมูลที่จะดำเนินการต่อไปหรือไม่ เพื่อเสนอให้กกต.พิจารณา และทางกกต.มีความเห็นว่า ให้ทำให้รอบคอบและเสนอขึ้นไปใหม่ ส่วนกกต. จะรับไว้พิจารณาหรือไม่ เป็นอีกประเด็นและ ถ้ารับแล้วจะผิดหรือถูกก็เป็นอีกประเด็น ดังนั้น เรื่องนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของสำนักงาน
เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวว่ามีการดำเนินการข้อหารู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิ์ลงสมัครเลือกตั้งส.ส. แต่ยังคงลงสมัคร นายแสวง กล่าวว่า เรื่องการมีลักษณะต้องห้ามของการลงสมัคร หากเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งต้องส่งศาลฎีกาวินิจฉัย แต่หลังเลือกตั้งก่อนประกาศผล ยังเป็นช่องโหว่อยู่ ซึ่งสำนักงาน คิดว่าหากมีการยื่น จะทำอะไรได้บ้าง ซึ่งสามารถทำคดีอาญา ตามมาตรา 151 ได้
ส่วนถ้าประกาศรับรองผลไปแล้วการให้พ้นจากส.ส. ก็ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 คือ สมาชิกรัฐสภาหนึ่งใน 10 เข้าชื่อ ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงกกต.ก็สามารถยื่นได้แต่เราต้องมีพยานหลักฐานและข้อเท็จจริง
เมื่อถามย้ำว่าขณะนี้กกต.กำลังพิจารณาควบคู่ ระหว่างคดีอาญา ตามมาตรา 151 และคดีคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่ นายแสวง กล่าวว่า ฐานะส่วนตัวคิดว่า คดีคุณสมบัติยังพิจารณาไม่ได้ ตอนนี้พิจารณาได้เฉพาะคดีอาญา ตามมาตรา151 แต่คดีคุณสมบัติยังทำไม่ได้ เพราะยังไม่เป็นส.ส.
“ตามคำร้อง ร้องว่าไม่มีคุณสมบัติลงสมัครส.ส. เพราะมีลักษณะต้องห้าม ที่กฎหมายกำหนด เมื่อไม่มีคุณสมบัติก็จะไปสู่ ข้อหารู้อยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติแต่ยังลงสมัคร ซึ่งมีความผิดตามมาตรา 151 แต่เรื่องการพ้นจากส.ส. เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ซึ่งตอนนี้ยังเป็นอนาคตที่มาไม่ถึง ยังไงก็ต้องประกาศผลให้เป็นส.ส.ไปก่อน เพราะพ้นในช่วงการยื่นของศาลฎีกามาแล้ว กกต.ไม่มีอำนาจไม่ประกาศ แต่พิจารณาคดีอาญาได้” นายแสวง กล่าว
นายแสวง กล่าวถึงการสั่งให้นับคะแนนเลือกตั้งใหม่ใน 47 หน่วยเลือกตั้งว่า จะนับคะแนนในวันที่ 11 มิ.ย.นี้ ซึ่งประชาชนสามารถเข้าไปร่วมสังเกตการณ์ได้เช่นเดิม และสำนักงานเองจะมีการบันทึกภาพวิดีโอในทุกขั้นตอนไว้เป็นข้อมูล ส่วนสถานที่จัดนับคะแนนคงได้ทราบจากสำนักงาน กกต.ประจำเขตเลือกตั้งที่จะเป็นผู้กำหนด