นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ หรือ ลอรี่ นักการเมืองอิสระ โพสต์ข้อความระบุว่า ขายฝันค่าแรงวันละ600 พังทั้งระบบ.. จบที่คนตกงาน อุทานแรง ..เมื่อพรรคสีแดงประกาศนโยบาย “ค่าแรง 600บาท ป.ตรี 25,000บาท” อ่านตามตัวอักษรช่างดูน่าเคลิบเคลิ้ม คนทำงานจะมีกินมีใช้ แต่ในความเป็นจริงไม่ได้สวยงามขนาดนั้น มาดูกัน ถ้าประกาศใช้จะเกิดไรขึ้น..
.
✘ SMEsขนาดเล็กจ้างไม่ไหว ล้มหายตายจาก
✘ พนง.โดนไล่ออกบาน อัตราว่างงานพุ่ง
✘ แรงงานต่างด้าวไหลเข้า จากลาว,พม่า, กัมพูชา
✘ จ้างงานผิดกฏหมายเพียบ
✘ บริษัทต่างชาติ ย้ายฐานผลิตไปเวียดนาม
✘ เงินเฟ้อ ซดก๋วยเตี๋ยวชามละ100
✘ GDP ตกฮวบฮาบ..
เข้าขั้นพังแบบแลนด์สไลด์ ในทุกมิติเศรษฐศาสตร์ คิดได้งัย?!?
.
ผลศึกษาของนักเศรษฐศาสตร์อเมริกัน เจฟฟรี่ย์ คลีแมนซ์ ค้นพบว่าเมื่อครั้งที่อเมริกามีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำขนานใหญ่ เพิ่มราว30%โดยเฉลี่ยทั้งประเทศ ช่วงปี2006-2009.. มีลูกจ้างตกงานรวมถึง 1.4ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานขาดทักษะ(Low-skilled workers) เช่นอาชีพแบกหาม แรงงานในโรงงานทั้งสิ้น ซึ่งเป็นอาชีพที่เดือดร้อน และต้องการความช่วยเหลือที่สุดด้วยซ้ำ
.
ปัจจุบันไทยมีค่าแรงเฉลี่ยอยู่ที่ 328-354 บาทต่อวัน ซึ่งหากมีการบ้าจี้ปรับขึ้น ตามนโยบาย “600บาทต่อวัน ขายฝันทุกแรงงาน” ถึงแม้ว่าจะเป็นการทยอยขึ้น ก็ส่งผลให้ต้นทุนแรงงานภาคธุรกิจ เพิ่มขึ้นเกือบ 70% บริษัทขนาดเล็กใครจะไปต่อไหว ..ส่วนบริษัทขนาดใหญ่ จ่อปลดพนง.ครั้งใหญ่ เพราะยังเจ็บจากพิษวิกฤติไม่หาย ถือโอกาสเลย์อ๊อฟ เลิกจ้างคนออกซะเลยตอนนี้ แล้วหันไปลงทุนจัดหาเครื่องจักร-AI สมองกล มาทำงานแทนแรงงานคน เพราะถูกกว่า
.
ส่วนธุรกิจอุตสาหกรรมข้ามชาติขนาดใหญ่ หลายรายก็คงต้องมองหาทำเลใหม่ เพื่อย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นที่ถูกกว่าแทน เช่นเวียดนาม ที่ค่าแรงขั้นต่ำเค้าอยู่ที่ 234 บาทต่อวันเท่านั้น ..ทุนบริษัทข้ามชาติอย่างประเทศญี่ปุ่น ที่ระยะหลัง เริ่มตีตัวออกห่างไทยอยู่แล้ว จะเทไหลออกเป็นน้ำ.. ลูกจ้างภาคอุตสาหกรรม 6.18ล้านคนลำบากแน่ครับ
.
ไม่แปลกใจที่ หลายภาคส่วนทั้งรัฐและเอกชน นักวิชาการ หรือสภาหอการค้าไทย พร้อมใจกันคัดค้าน แสดงความเป็นห่วงกับนโยบายสุกเอาเผากิน ที่คิดมาเพียงต้องการหาเสียง แต่เรียบเรียงหาสาระและปัญญาไม่ได้.. เพราะสร้างปัญหายิ่งกว่า ภาคเอกชนพากันเบือนหน้าหนี
.
ทำไมไม่ไปช่วยเรื่องเพิ่มทักษะแรงงาน(Upskill) ให้ได้ค่าจ้างสูงจากงานเฉพาะทางที่ตลาดขาดแคลน, ออกนโยบายประกันรายได้เด็กจบใหม่ มีสกิลมีงานทำ บรรจุเป็นลูกจ้างรัฐ, ธนาคารแรงงาน หรือ ศูนย์ฟรีแลนซ์ออนไลน์โดยกรมจัดหางาน ..ทำได้เป็นล้านวิธีครับ ที่ใช้เทคโนโลยีมาแก้ปัญหา
.
น่าแปลกใจ พรรคสีแดงที่เคยมีมือเศรษฐกิจดีๆ ที่ผมนับถือกันอยู่คับคั่ง.. แต่ ณ เวลานี้ กลับดูไร้ซึ่งจินตนาการ ขาดความเข้าใจในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สะท้อนถึงความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ที่ดูตกยุค
.
หรือว่าหนังสือ “Capital in the Twenty-First Century” ของโทมัส พิเคตตี้ ว่าด้วยเรื่องความมั่งคั่ง(Return on wealth) โตไวกว่า ขนาดเศรษฐกิจ(Economic growth) จะช่วยลุงโทนี่และทีมได้เท่านี้จริงๆ ..น่าคิดนะครับ
.