เมื่อวันที่ 4 เม.ษ. 2567 ที่รัฐสภาในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เป็นวันที่ 2 มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายการดำเนินนโยบายกองทัพของรัฐบาลว่า ตามคำแถลงนโยบายด้านกองทัพของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เคยระบุว่า จะเปลี่ยนรูปแบบการเกณฑ์ทหารเป็นแบบสมัครใจ ลดจำนวนนายพลลง ปรับปรุงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างอาวุธยุทโธปกรณ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ การจะนำพื้นที่ไม่จำเป็นของกองทัพมาให้ประชาชนใช้ประโยชน์
ตามที่นายเศรษฐาเคยพูดว่า นี่คือการพัฒนาร่วมกัน แต่กลับพบว่าเป็นแค่การสมยอมกับกองทัพในการปรุงแต่งตบตาประชาชน เอานโยบายรัฐบาลชุดที่แล้วมาทำแล้ว ทำอยู่ มาทำต่อ แล้วใช้คำให้ประชาชนหลงเชื่อว่านี่คือการปฏิรูป ต้องถามว่าการดำรงอยู่ของกองทัพ มีวัตถุประสงค์เพื่อความมั่นคงของประเทศและประชาชน หรือเพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ของผู้ที่อำนาจจากการเสพสุขและอำนาจของกองทัพจากรุ่นสู่รุ่น
การปฏิรูปกองทัพ ไม่ใช่การทำลายกองทัพหรือด้อยค่ากองทัพ อย่างที่นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม เคยให้สัมภาษณ์ หากไม่มีการปฏิรูปกองทัพอย่างจริงจัง ทุกการกระทำของกองทัพจะถูกประชาชนตั้งแง่ทันที หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้เรื่อย ๆ จะทำให้ภาพลักษณ์กองทัพตกต่ำลง ทำงานยากลำบาก และจะมีคนกลุ่มหนึ่งฉวยโอกาสตบทรัพย์ ต่อรองเอางบประมาณจากกองทัพ หากกองทัพไม่โปร่งใสก็จะถูกนักการเมืองกลุ่มหนึ่งเอาความลึกลับดำมืดมาเป็นชะนักปักหลัง ซึ่งตนมีเรื่องที่จะสะท้อนให้นายกฯ และรมว.กลาโหมให้ทราบดังนี้
การปรับลดกำลังพล แม้ขณะนี้รัฐบาลจะประโคมข่าวความสำเร็จของการรับสมัครทหารแบบออนไลน์ ที่เพิ่มขึ้น 15,163 นาย เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีจำนวน 10,156 นาย ปี 2565 จำนวน 6,600 นาย ปี 2564 จำนวน 3,200 นาย หากดูยอดออนไลน์จำนวนเพิ่มขึ้นจริง แต่เป็นคนละเรื่องกับการลดกำลังพล และการรับสมัครทหารแบบออนไลน์ก็ทำมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลชุดที่แล้วตั้งแต่ปี 2564 หากการสมัครทหารแบบออนไลน์ เป็นกลไกที่จะยกเลิกการเกณฑ์ทหารได้จริง
เมื่อรวมยอดการสมัครที่หน้างานและยอดสมัครแบบออนไลน์ จำนวนยอดสมัครทั้งหมดก็ควรจะเพิ่มขึ้น ซึ่งในปีก่อน ๆ มีจำนวนผู้สมัครทหารสูงสุดมากถึง 5 หมื่นคน แต่ในปี 2564 ที่มีการรับสมัครทหารออนไลน์รวมกับการสมัครที่จุดเกณฑ์ทหาร มีจำนวนกำลังพลลดลงเหลือเพียง 28,572 นาย ปี 2565 เหลือเพียง 3 หมื่นนาย ปี 2566 เหลือเพียง 35,000 นาย ซึ่งการสมัครทหารทั้งแบบวอล์กอินและออนไลน์มีแนวโน้มลดลงด้วยซ้ำ
นี่คือการตบตาประชาชน โดยนำแค่ยอดสมัครทหารออนไลน์มานำเสนอ 11 ปี จำนวนลดลงเฉลี่ยปีละ 1,500 นาย สิ่งที่รัฐบาลนี้ทำไม่มีอะไรใหม่ แต่เป็นสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ทำอยู่แล้ว คือการบรรจุกำลังพลในอัตราร้อยละ 70 ของอัตราความต้องการจริง การลดอัตรากำลังพลที่ต้วมเตี้ยมแบบนี้ ไม่ใช่การพัฒนาร่วมกันแน่ ๆ หากต้องการปฏิรูปกองทัพอย่างแท้จริง กระดุมเม็ดแรก คือการปรับปรุงโครงสร้างภายในกระทรวงกลาโหม ยกเลิกหน่วยงานซ้ำซ้อน
ประเมินภัยคุกคามและบริบทความมั่นคงในโลกยุคใหม่ ที่มีความต้องการกำลังพลทหารราบลดลงในทุกประเทศ และต้องนำพลทหารที่ไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจทางทหาร ออกจากระบบให้หมด ซึ่งแผนการยุบหน่วยงานในปีงบประมาณ 67-68 ลดกำลังพลได้เต็มที่ 1,700 อัตรา ประหยัดงบประมาณได้แค่ 34 ล้านบาท จากงบทั้งหมด 93,000 ล้านบาท
นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า อีกวิธี โดยการนำอัตรากำลังพลและอัตรากำลังแรงงานมาคิด ซึ่งคิดแล้วประเทศไทยจะมีกำลังพลราว ๆ 6 หมื่นนาย TDRI ประเมินว่าในสังคมผู้สูงวัย ทำให้อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง พร้อมทั้งได้เสนอการลดการเกณฑ์ทหารลง ให้เหลือเพียงปีละ 5 หมื่นนาย เพื่อให้ประชากรวัยแรงงานได้ประกอบอาชีพเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ หากรัฐบาลปรับยอดกำลังพลให้อยู่ในระดับที่จำเป็น นอกจากจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ว จะทำให้รัฐบาลมีงบเพียงพอในการปรับปรุงสวัสดิการ
และทำสัญญาจ้างทหารอาชีพสมัครใจระยะยาว 4-5 ปี อีกทั้งยังช่วยให้การปฏิบัติการทางทหารมีประสิทธิภาพขึ้น หรือการที่ต้องมีพลทหารเยอะขนาดนี้ เพราะเป็นผลประโยชน์หล่อเลี้ยงบรรดานายพลที่หากินกับการบังคับเกณฑ์ทหาร ในทุกปีจะมีคนที่ไม่ต้องการเกณฑ์ทหาร ก็จะมีสัสดีบางกลุ่มนำใบ สด.43 ปลอม หลอกขายประชาชน ซึ่งตกใบละ 5 หมื่นบาท หาก 1 ปีหลอกขายได้ 6 หมื่นคน ความเสียหายก็อยู่ที่ 3 พันล้านบาท รวมทั้งการฝึกทหารในค่ายก็สามารถยกเงินเดือนให้นายพล 1 หมื่นบาท หากมีการลักลอบปล่อยทหาร 2 หมื่นนาย เราก็เสียประโยชน์ 2,400 ล้านบาท เป็นเพราะเรื่องเหล่านี้หรือไม่ที่ทำให้ไม่ยอมยกเลิกการเกณฑ์ทหาร
การลดจำนวนนายพล จากการที่รัฐบาลแถลงข่าวว่าปี 2570 จะลดจำนวนนายพลลงร้อยละ 50 นี่ไม่ใช่การลดจำนวนนายพลลงครึ่งหนึ่ง แต่เป็นการลดจำนวนนายพลเกินจำเป็นที่ไม่มีหน้าที่ชัดเจน ให้เหลือน้อยกว่า 300 นาย แต่จำนวนนายพลที่เกินจำเป็นต้องเป็น 0 ใช่หรือไม่ ซึ่งนายสุทินไม่ต้องทำอะไรจำนวนนายพลก็จะลดลงอยู่แล้ว เพราะโรงเรียนเตรียมทหารรับสมัครนักเรียนลดลง ตนถามว่าหากสำเร็จ งบบุคลากรของกองทัพจะลดลงหรือไม่
ที่ดินราชพัสดุมีทั้งหมด 12 ล้านไร่ แต่ครอบครองโดยกองทัพถึง 6.25 ล้านไร่ ซึ่งกองทัพบกถือไว้มากถึง 4.5 ล้านไร่ ใน 4.5 ล้านไร่นี้อยู่ใน จ.กาญจนบุรี และราชบุรีถึง 3 ล้านไร่ มีทั้งที่ดินรกร้าง และที่ดินบางส่วนถูกนำไปใช้ทำสวัสดิการธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นสนามกอล์ฟ บ้านพักตากอากาศ สนามมวย โดยไร้ความโปร่งใส
โดยมีรายงานผลกำไรในธุรกิจทุกเหล่าทัพเพียงปีละ 70-80 ล้านบาท หากทำธุรกิจแล้วกำไรน้อยขนาดนี้จะทำทำไม ที่บอกว่านำกำไรไปจัดทำสวัสดิการให้ทหารชั้นผู้น้อยนำไปทำอะไร ตรงกับความต้องการของเขาหรือไม่ ตลกร้ายที่กองทัพฮุบที่ดินไว้เป็นจำนวนมหาศาล ในขณะที่ภาคเกษตรกำลังประสบปัญหาขาดแคลนที่ดิน โดยมีเกษตรกรมากกว่าครึ่งไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง ทำให้เกษตรกรต้องแบกรับต้นทุนการเกษตรเป็นจำนวนมาก
โดยที่ผ่านมารัฐบาลของนายเศรษฐาก็พยายามที่จะเอาที่ดินของกองทัพมาให้ประชาชนใช้ประโยชน์ โดยตั้งชื่อใหม่สวยหรูว่า โครงการธนารักษ์เพื่อราษฎร์ หรือหนองวัวซอโมเดล ซึ่งไม่ใช่โครงการใหม่อะไรเลย เพราะทำมาอยู่แล้วตั้งแต่ปี 2547 ในชื่อโครงการรัฐเอื้อราษฏร์ และเปลี่ยนชื่อในปี 2562 เป็นโครงการธนารักษ์ประชารัฐ ที่รูปแบบโครงการเหมือนเดิม ซึ่งเป็นการเอาโครงการของ พล.อ.ประยุทธ์ มาปัดฝุ่นเปลี่ยนชื่อ
งบประมาณของแต่ละเหล่าทัพ
ปัจจุบันสถานการณ์ตามบริบทโลกก็เปลี่ยนแปลงไป แต่งบฯ ที่จัดสรร 5 ปีย้อนหลัง กองทัพบกได้ไป 5 แสนล้าน ส่วนกองทัพเรือและอากาศได้ไป 4 หมื่นล้านบาท สะท้อนว่ากองทัพใช้วิธีจัดสรรงบตามโควต้า 2:1:1 ซึ่งไม่สอดคล้องกับสถานการณ์แบบใหม่ แต่กองทัพกลับปฏิบัติหน้าที่เช่นเดิม แล้วจะรักษาดำรงความมั่นคงประเทศได้อย่างไร
นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า ในเมื่อ รมว.กระทรวงกลาโหม ไม่กล้าสั่งการทางนโยบายต้องมาขอร้องกองทัพให้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศ จึงขอยืนยันว่าตราบใดที่นายสุทิน เป็น รมว.กลาโหมอยู่ อนาคตของธุรกิจ และอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศมีแต่มืดมน พอกันทีกับการเล่นละครตั้งชื่อซีรีส์ว่าการพัฒนาร่วมกัน แต่ละครแบบนี้หวังมาให้ได้ซึ่งคะแนนเสียงการเลือกตั้งไม่ได้อีกแล้ว ประชาชนเขากินข้าว เขาเลิกกินช็อกมินต์แล้ว
“รัฐบาลนี้ไม่ได้ทำอะไรใหม่เลย นี่ไม่ใช่การคิดใหม่ทำเป็น แต่เป็นการทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และถ้านายสุทิน กับนายเศรษฐา ยังคงฝืนทำแบบนี้ต่อไป ก็จะยิ่งทำให้ประชาชนที่ถูกหลอก รู้สึกไม่ไว้วางใจกองทัพ และไม่เป็นผลดีต่อการจัดสรรงบประมาณ ตลอดจนการขับเคลื่อนนโยบายด้านความมั่นคงของประเทศ” นายวิโรจน์กล่าว