‘วีรภัทร’ว่าที่สส.ก้าวไกล ชี้แจงข้อเท็จจริง ดราม่า#SAVEหยก ยันไม่ได้เข้าไปก่อกวน-บังคับ-ข่มขู่ในโรงเรียน

0
1013

จากกรณี เฟซบุ๊กแฟนเพจ เสธPlay ได้กล่าวอ้างว่ามีกลุ่มผู้ชุมนุมที่เป็น “กลุ่มบุคคลจากพรรคการเมือง” พร้อมกับ “ว่าที่ ส.ส.” ใช้กำลังข่มขู่โรงเรียนและเข้ามาก่อกวนคนในพื้นที่ จนเกิดเหตุการณ์ SAVEหยก เด็กนักเรียนที่ถูกคุมตัวคดีม.112

ต่อมา นายวีรภัทร คันธะ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. สมุทรปราการ เขต6 อ.พระประแดง (ยกเว้นต.บางจาก) พรรคก้าวไกล ได้ออกมาตอบโต้ข้อเท็จจริง โดยระบุว่า

ผมได้รับแจ้งการเผยแพร่เฟคนิวส์จากเพจดังซึ่งมีชื่อเกี่ยวข้องกับผมตลอดช่วงบ่ายวันนี้ เกี่ยวกับกรณีของน้องหยก
ผมขออนุญาตอธิบายแยกเป็นประเด็นหลักๆตามนี้นะครับ


ประเด็นแรก เรื่องน้องหยกเรียนจบ ม.3 ไปเทอมที่แล้ว คะแนนไม่ถึงพอที่จะต่อ ม.4 จึงต้องสอบเข้าใหม่ รายละเอียดในส่วนนี้ผมไม่ทราบครับ ผมทราบเพียงว่า น้องหยกสอบได้ที่ 1 สายศิลป์ภาษาจีนเท่านั้นครับ


ประเด็นที่สอง เรื่องวันมอบตัวไม่มีใครมาดำเนินการทางทะเบียนต่อ ไม่ว่าจะตัวหยกเองหรือผู้ปกครอง ส่วนผู้ปกครองที่ลงทะเบียนไว้กับโรงเรียนคือน้า ไม่ใช่พ่อหรือแม่ รายละเอียดในส่วนนี้ผมเองก็ไม่ทราบมาก่อนเช่นกันครับ และได้มารับทราบจากรองผู้อำนวยการฝ่ายหนึ่งของโรงเรียนในวันที่ 19 พ.ค. ว่าระหว่างช่วงเวลาที่น้องถูกคุมขังอยู่ ผู้ปกครองของน้องไม่ได้มาดำเนินการทางทะเบียน แต่สุดท้ายทางโรงเรียนก็ได้รับการติดต่อจากผู้ปกครองว่าขอผ่อนผันและขอมอบตัวภายหลัง รวมถึงรายละเอียดที่ทางโรงเรียนพยายามติดต่อผู้ปกครองของน้องหยกหลายครั้ง แต่ไม่สามารถติดต่อได้ ผมเองก็ยังสอบถามกลับไปว่า ทำไมจึงไม่สามารถติดต่อผู้ปกครองของน้องได้เลย ซึ่งผมก็ไม่ได้รับคำตอบเช่นกันครับ โดยรายละเอียดทั้งหมดผมได้รับทราบจากการบอกเล่าของรองผู้อำนวยการคนดังกล่าว เนื่องจากท่านได้เชิญผมและทนายความส่วนตัวเข้าไปพูดคุยในห้องครับ


ประเด็นที่สาม วันที่ผมไปแสดงจุดยืนเรียกร้องให้ปล่อยตัวน้องหยกคือวันที่ 16 พ.ค. ซึ่งเป็นวันที่โรงเรียนเปิดเทอมได้หนึ่งวันแล้ว แต่น้องหยกยังถูกคุมขังอยู่ที่บ้านปรานี ต้องเสียโอกาสทางการศึกษา ผมจึงออกมาแสดงจุดยืนครับ ดังนั้น ภาพถ่ายที่เห็นตามข่าวคือภาพของวันที่ 16 พ.ค. นะครับ


ประเด็นที่สี่ เรื่องการเข้าไปในโรงเรียนในวันที่ 19 พ.ค. เนื่องจากผมได้รับสายจากทนายความของน้องหยกว่าน้องหยกจะเข้าไปมอบตัวเพื่อเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนดังกล่าว หากผมสะดวกก็อยากให้ผมไปเป็นผู้สังเกตการณ์ ซึ่งผมก็ยินดีที่จะช่วยให้น้องได้เข้าศึกษาต่ออย่างราบรื่น ผมจึงเดินทางไปที่โรงเรียนพร้อมด้วยทนายความส่วนตัวเพียงแค่สองคนเท่านั้น ไม่ได้ไปเป็นกลุ่มบุคคลจากพรรคการเมืองและบุกเข้าโรงเรียนตามที่ถูกกล่าวอ้างครับ เนื่องจากขณะที่ผมยืนรออยู่หน้าโรงเรียน น้องๆได้เรียกให้ผมเข้าไปในโรงเรียนพร้อมกัน เมื่อไปถึงหน้าประตูโรงเรียนปรากฎว่า รปภ. ห้ามไม่ให้น้องเข้าไปในโรงเรียน จึงเจรจาขอให้น้องเข้าไปมอบตัวเพื่อศึกษาต่อ โดยผมไม่ได้กดดัน ไม่ได้ถ่ายคลิป หรือถ่ายรูป หรือพูดข่มขู่ว่าจะเอาไปแฉบน Youtube ตามที่ถูกกล่าวอ้างแต่อย่างใดครับ


ประเด็นที่ห้า เรื่องที่โรงเรียนแจ้งว่าตามระเบียบจะไม่สามารถรับมอบตัวน้องหยกได้ จำเป็นต้องมีผู้ปกครองเป็นคนมอบตัว พร้อมทั้งได้เสนอให้ ส.ส. เป็นคนรับรองนั้น รายละเอียดในส่วนนี้ท่านรองผู้อำนวยการคนเดิมได้บอกว่าไม่สามารถรับมอบตัวน้องหยกได้ ต้องเป็นผู้ปกครองคือพ่อหรือแม่เท่านั้นจึงจะรับมอบตัวได้ เพราะทางโรงเรียนอยากให้มีผู้ปกครองที่สามารถติดต่อได้หากเกิดปัญหา ส่วนบุคคลที่น้องไว้ใจที่มากับน้องนั้นทางโรงเรียนบอกว่าไม่ค่อยอยากให้รับรองเพราะไม่รู้จักว่าเป็นใคร และได้เสนอให้ทนายความของผมลงชื่อรับรอง ไม่ได้เสนอให้ผมเป็นคนรับรองครับ ซึ่งน้องหยกเองมีทนายความอยู่แล้ว แต่ในวันดังกล่าวทนายความของน้องติดภารกิจไม่สามารถมาได้ จึงมีบุคคลที่ไว้ใจมากับน้องด้วย ซึ่งเป็นคนที่ดูแลน้องและอยู่บ้านเดียวกันกับน้อง ผมจึงคุยกับท่านว่าจะให้ผู้ปกครองที่มากับน้องเป็นผู้รับรองดีไหม เนื่องจากเป็นคนที่ดูแลน้องอยู่ปัจจุบันและเป็นคนที่น้องไว้ใจ ซึ่งสามารถติดต่อได้ทันทีหากมีปัญหาใดๆเกิดขึ้น เมื่อได้พูดคุยกันไม่นาน ท่านรอง ผอ. ก็ตกลงรับมอบตัวน้องหยก และได้ให้น้องหยกและผู้ปกครองเข้ามาในห้องเพื่อกรอกเอกสารและรับหลักฐานการมอบตัวเพื่อเข้าศึกษาต่อครับ


ประเด็นที่หก เรื่องที่ว่าเมื่อมอบตัวไม่ได้ ทางกลุ่มการเมืองดังกล่าวจึงบุกเข้าไปโรงอาหาร พยายามไปปลุกม็อบ แต่นักเรียนคนอื่นไม่สนใจจะร่วมด้วย ทางกลุ่มจึงล่าถอยออกไปนั้น ตามที่กล่าวไปแล้วในประเด็นที่ห้าคือน้องได้มอบตัวเพื่อเข้าศึกษาต่อแล้วนะครับ หลังจากนั้นผมและทนายได้นั่งคุยกับท่านรอง ผอ. อยู่อีกสักพัก แต่น้องหยกกับผู้ปกครองที่มาด้วยได้ออกไปทานข้าว ส่วนผมเมื่อคุยเสร็จจึงเดินไปที่โรงอาหารเพื่อไปทานข้าว เพราะหิวครับ ไม่ได้ไปเพื่อปลุกม็อบตามที่ถูกกล่าวอ้างครับ


ประเด็นที่เจ็ด เรื่องที่มีการบังคับให้นักเรียนมายืนถือป้าย มีนักเรียนเข้าร่วมเพียง 7-8 คนเท่านั้น ในจำนวนนี้มีเด็ก ม.2 หนึ่งคนที่แสดงท่าทีอึดอัดไม่อยากเข้าร่วม​ แต่ก็ถูกบังคับให้ยืนถือป้ายจนกระทั่งเด็กคนนี้ร้องไห้ออกมา ในส่วนนี้ผมเข้าใจว่าผู้เขียนน่าจะหมายถึงวันที่ 16 พ.ค. ที่มีการทำกิจกรรมหน้าโรงเรียน (ถ้าผิดพลาดขออภัย) นะครับ วันดังกล่าวผมไปร่วมแสดงจุดยืน เมื่อไปถึงจนกระทั่งจบกิจกรรม ผมไม่พบเห็นการบังคับให้ถือป้ายหรือคนร้องไห้ครับ แต่ถ้าผู้เขียนหมายถึงวันที่ 19 พ.ค. ที่น้องหยกมอบตัวเพื่อเข้าศึกษาต่อ ในวันนั้นก็ไม่มีการบังคับหรือปลุกระดมใดๆนะครับ


ประเด็นสุดท้าย เรื่องที่ทางโรงเรียนพิจารณาแล้ว มีมติว่าจะยังรักษาสิทธิในการมอบตัวของหยกไปก่อน แต่ต้องมีผู้ปกครองมามอบตัวให้ถูกต้องตามระเบียบ รายละเอียดในส่วนนี้ตามข้อเท็จจริงคือ ท่านรอง ผอ. ได้รับมอบตัวน้องหยกเรียบร้อยแล้วในวันที่ 19 พ.ค. น้องได้กรอกเอกสารและลงลายมือชื่อ ประกอบกับยื่นใบ ปพ.แล้ว แต่ขาดเอกสารประจำตัวบางอย่างซึ่งทางโรงเรียนอนุญาตให้นำมายื่นเพิ่มเติมภายหลัง เนื่องจากในวันดังกล่าวน้องหยกมีนัดกับแพทย์และต้องเดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการตรวจรักษา ซึ่งน้องหยกได้เข้าเรียนตามปกติตั้งแต่วันจันทร์ที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมาแล้วครับ
ผมเข้าใจว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง อาจมีความพยายามในการสร้างข่าวเท็จหรือเฟคนิวส์ขึ้น ผมจึงอยากขอร้องให้หยุดการกระทำที่เป็นการบิดเบือนข้อมูลเพื่อสร้างความเสียหายแบบนี้นะครับ ทางทีมกฎหมายของผมจะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่เผยแพร่ข่าวปลอมนี้แน่นอนครับ

Thepoint #Newsthepoint #หยก #ม112 #มอบตัวหยก #หยกกลับมาเรียน