นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี แกนนำพรรคชาติพัฒนากล้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า“ผมขอประณาม มติ ครม. 25 ต.ค.65 ให้ประชาชนจ่ายหนี้ 1.5 แสนล้าน ในทุกครั้งที่เราเติมน้ำมันถึง 7 ปี แทนที่จะเก็บภาษีลาภลอย จากกำไรมหาศาลของโรงกลั่น”
.
เมื่อวานนี้ ครม. มีมติเห็นชอบแผนการกู้เงินของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.5 แสนล้านบาท โดยมีกรอบระยะเวลาใช้เงินคืน 7 ปี แต่หนี้ก้อนนี้เป็นหนี้สาธารณะ ที่ประชาชนต้องชดใช้ให้กองทุนน้ำมัน โดยถูกบวกจ่ายเพิ่มในทุกครั้งที่เราเติมน้ำมัน
.
โรงกลั่นน้ำมันฟันกำไรเกินควร เพราะไปยึดส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันดิบดูไบและราคาน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์ เป็นต้นทุนค่าการกลั่นสมมุติ เมื่อเกิดภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์พุ่งสูงขึ้น เมื่อหักลบกับราคาน้ำมันดิบดูไบ เลยทำให้ส่วนต่างซึ่งเป็นต้นทุนค่าการกลั่นที่สมมุติ พุ่งสูงขึ้นไปด้วย
.
ทั้งที่ต้นทุนค่าการกลั่นที่แท้จริงก็เท่าเดิม เลยทำให้โรงกลั่นฟันกำไรมหาศาล ส่วนรัฐบาลไม่กล้าเข้าคุมค่าการกลั่น แต่ปล่อยให้กองทุนน้ำมันจ่ายเงินพยุงราคาให้ประชาชน จนปัจจุบันกองทุนถังแตกติดลบกว่า 1.5 แสนล้านบาท ต้องมาขอให้รัฐบาลช่วย กลายเป็นหนี้สาธารณะ ที่ประชาชนต้องผ่อนคืนจากกระเป๋าของเราเองในทุกครั้งที่เราเติมน้ำมันไปอีก 7 ปี
.
ผมมีคำถามว่า
1.) กระทรวงพลังงานเคยประกาศจะไปขอเงินบริจาค 2.4 หมื่นล้าน จากโรงกลั่นวันนี้อยู่ไหน?
2.) ที่ผมและคุณกรณ์ เคยเสนอให้ออกพระราชกำหนด เก็บภาษีภาษีลาภลอยกับโรงกลั่น ทำไมไม่ทำ?
3.) ท่านรู้หรือไม่ ถ้าท่านดึงเรื่องการออกพระราชกำหนดเก็บภาษีลาภลอยจนข้ามปี โรงกลั่นที่เป็นบริษัทมหาชน เขาจะจ่ายกำไรเป็นเงินปันผลไปให้ผู้ถือหุ้นหมด จะเก็บภาษีไม่ทัน
.
ดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจแบบนี้เสียหาย เหมือนล้วงเงินประชาชน ไปเป็นกำไรโรงกลั่นน้ำมัน
.