หน้าแรกการเมือง'เศรษฐา' เปิดใจหลังเล่นการเมือง ลั่นถ้าได้นั่งนายกฯจะเดินหน้าตั้ง 'ส.ส.ร.' รื้อรัฐธรรมนูญ 60

‘เศรษฐา’ เปิดใจหลังเล่นการเมือง ลั่นถ้าได้นั่งนายกฯจะเดินหน้าตั้ง ‘ส.ส.ร.’ รื้อรัฐธรรมนูญ 60

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อค่ำวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ จัดงานเอ็กซ์คลูซีฟดินเนอร์ทอล์ก JOURNEY TO TRANSFORM ในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 47 หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ โดยมี นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตซีอีโอ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย มาแชร์ประสบการณ์การทรานส์ฟอร์มตัวเองจากการเป็นผู้บริหารธุรกิจสู่การเป็นนักการเมือง

และนายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์การพาองค์กรฝ่ากระแสความเปลี่ยนแปลงเพื่อก้าวสู่เส้นทางใหม่ และหาโอกาสใหม่ ๆ โดยมี นายสรกล อดุลยานนท์ คอลัมนิสต์ชื่อดัง เป็นผู้ดำเนินรายการ

ต่อมา นายเศรษฐาขึ้นเวที โดยมี นายสรกล อดุลยานนท์ เป็นผู้สัมภาษณ์ถึงประสบการณ์ทางการเมืองหลังจากการหาเสียงเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา และในช่วงหนึ่งนายสรกลเปิดโอกาสให้นายอาทิตย์ถามนายเศรษฐา โดยนายอาทิตย์ถามว่า หากนายเศรษฐาเป็นนายกฯ จะทำอะไรก่อน

นายเศรษฐากล่าวตอบว่า ผลการเลือกตั้งที่ออกมาเต็มไปด้วย worst case scenario เป็นตัวเลข เป็นการผสมผสานหลาย ๆ อย่างที่มันเหมือนกับอะไรที่ไม่เป็นใจให้แก้ไขปัญหาได้อย่างง่าย ๆ

“หากวันนี้ผมเป็นนายกฯด้วยสภาพสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ปัญหาหลักอยู่ที่รัฐธรรมนูญ ต้องร่างฉบับใหม่โดย ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้น ถ้าเป็นนายกฯ ในสภาวะเช่นนี้เรื่องที่จะทำทันทีที่เป็นอุปสรรคที่ทำให้อยู่ร่วมกันลำบาก ขัดขวางการเดินหน้าของเศรษฐกิจประเทศ คือเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ซึ่งรัฐธรรมมนูญฉบับนี้เป็นฉบับที่พิกลพิการ ถ้าถูกแก้ไขได้โดยเร็วที่สุดแล้วก็คืนอำนาจให้กับพี่น้องประชาชน คาดว่าจะใช้เวลา 18 เดือน” นายเศรษฐากล่าว

นายเศรษฐากล่าวว่า ถ้าตนได้ทำตำแหน่งนี้ ตนก็จะเป็นให้ และจะผลักดันเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ระหว่างนั้นก็จะดำเนินการอื่น ๆ ที่ไม่ต้องใช้งบประมาณ เช่น 1.การสมรสเท่าเทียม 2.สมัครใจเกณฑ์ทหาร ที่ต้องเทกแคร์คนรุ่นใหม่ อาจจะไม่สมัครใจเกณฑ์ทหาร สมมุติกองทัพต้องการกำลัง 1 แสนคน สมัคร 3 หมื่นคน แทนที่จะขอเกณฑ์อีก 7 หมื่นคน ก็ขอแค่ 5 หมื่นคน ช่วยลดลงไปได้หรือไม่

3.ดิจิทัลวอลเล็ต 4.เพิ่มค่าแรง ขั้นต่ำ 5.การแก้ปัญหาประมงจากกฎไอยูยู 6.นายกฯ ต้องบินไปเจรจาต่างประเทศ 7.การเข้าถึงระบบสาธารณสุขพื้นฐาน อัพเกรดบัตร 30 บาทรักษาทุกโรค

นายเศรษฐากล่าวว่า จะทำงานภายใน 6 เดือน ถ้าเกิดเรื่องเหล่านี้ได้ถูกแก้ไขและมีโรดแมปที่ชัดเจน เรื่องที่คนรุ่นใหม่ หรือพรรคร่วมรัฐบาลมีความกังวล เช่น เรื่องมาตรา 112 ถ้าไม่มีการแก้ไขปัญหาผ่านไปแล้ว 6 เดือน สิทธิเสรีภาพคืนสู่ประชาชน มีเรื่อง พ.ร.บ.สะอาดสามารถเดินหน้าได้ทันที และมีเรื่องใดที่มีประเด็นจะพยายามทำให้ดีที่สุดควบคู่ไปกับการทำงานอื่น ๆ

“แต่การลงทุนเรื่องรถไฟความเร็วสูงผมว่าอย่าเพิ่งทำ เพราะว่าการลงพื้นที่เข้าใจว่ารถไฟทางคู่มีความสำคัญ เช่น ขอนแก่นไปหนองคายจำเป็นมาก สามารถข้ามไปฝั่งลาวได้ แค่นี้ นักลงทุน นักธุรกิจที่ภาคอีสานจำเป็น แต่หลักการอื่น ๆ ประเทศยังบอบช้ำ เพราะมี พ.ร.บ.พิกลพิการอยู่ทำให้ไม่สามารถแก้ไขได้ หากปัญหานี้ถูกแก้แล้วจะเดินหน้าต่อได้และคืนอำนาจให้พี่น้องประชาชน เราค่อยมาว่ากันเรื่องรถไฟความเร็วสูง และเรื่องอื่น ๆ ที่ใหญ่กว่า” นายเศรษฐากล่าว

นายเศรษฐากล่าวถึงบทเรียนจากแวดวงการเมืองครั้งแรกว่า ได้บทเรียนยาวมาก เพราะว่าตนเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา เมื่อเวลาเข้าสู่การเมืองจะระมัดระวังมากขึ้น วันแรกเมื่อเข้าพรรคเพื่อไทยก็มีการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยมีคำถามว่าจะรับตำแหน่งนายกฯ ตำแหน่งเดียวเลยใช่หรือไม่ ถ้าเป็นนักการเมืองมืออาชีพจะมีลูกเล่น แต่ตนก็ตอบชัดเจนว่าถ้าไม่ใช่ตำแหน่งนายกฯ ก็คงไม่เอา ซึ่งแรงสะท้อน กลับมาก็ค่อนข้างจะแรงเหมือนกับว่าคนใหม่ หัดโลภ เพิ่งเข้ามาถึงก็ใฝ่สูง ไปกันใหญ่

“ได้คุยกับ 3 เกลอว่าเสียใจอะไรหรือเปล่า ผมก็บอกว่าผมเสียใจ เพราะตอบคำถามไม่ชัดเจน แต่ก็ได้พูดคุยและได้รับข้อมูลว่าจริงๆ แล้วคนรุ่นใหม่ชอบความชัดเจน และยืนยันว่าสิ่งที่ผมตอบไปในวันนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ก็อาจสรุปได้ว่า 2-3 เดือนที่ผ่านมาทำให้เป็นนักการเมืองมากขึ้น” นายเศรษฐากล่าว

เมื่อถามถึงจุดเริ่มต้นจากนักธุรกิจเข้าสู่ความเป็นนักการเมือง นายเศรษฐากล่าวว่า คิดอยู่นานมาก เป็นอะไรที่ทราบกันดีว่านักธุรกิจที่ก้าวข้ามเข้ามาสู่วงการเมืองและปรารถนาจะขึ้นดำรงตำแหน่งระดับสูง ก็มีเสียงเตือนค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ของคดี เรื่องของการถูกเพ่งเล็ง แต่เชื่อว่าการที่เป็นนักธุรกิจมา 30 กว่าปี ลูกทั้ง 3 คน ก็ประสบความสำเร็จในชีวิตการศึกษาและชีวิตการทำงาน

บ้านเมืองช่วง 8-9 ปีที่ผ่านมา ค่อนข้างประสบปัญหา เมื่อตัวเองมีฐานะพอสมควรและไม่จำเป็นต้องมีมากไปกว่านี้ มีความสุขทางกายแล้ว แต่ความสุขทางใจ บางทีก็อยากเห็นคนอื่นมีบ้าน มีสังคมเจริญเติบโตภายใต้การบริหารจัดการที่ดี เชื่อว่าประเทศไทยต้องการการเปลี่ยนแปลง ต้องการคนที่มีมุมมองใหม่ ๆ

นายเศรษฐากล่าวว่า หากถามว่าจากการที่อยู่วงการการเมืองมา 2-3 เดือน มีนักการเมือง คนไหนที่ให้ความเคารพมากและชื่นชม มากที่สุด ก็คือนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นคน มีความรู้รอบตัวสูง เข้าใจการเมืองไทย อธิบายให้ฟังว่าทำไมตนจึงต้องเข้ามาตรงนี้

Thepoint #Newsthepoint #เลือกตั้ง2566 #เศรษฐา #นายก #สสร #เพื่อไทย

Must Read

Related News

- Advertisement -