กลายเป็นที่จับตากันมาตั้งแต่ก่อนสิ้นปี 2022 สำหรับเกิร์ลกรุ๊ปสุดฮอตแห่งยุค“แบล็กพิงก์” (BLACKPINK) ซึ่งประกอบด้วย “เจนนี่” (Jennie), “จีซู” (Jisoo), “โรเซ่” (Rose) และ “ลิซ่า”(Lisa) ที่กำลังจะหมดสัญญากับค่าย “วายจี เอนเตอร์เทนเมนต์”(YG Entertainment) ต้นสังกัดในเดือนสิงหาคมหรือช่วงกลางปีนี้
.
ล่าสุดนี้กลับมาเป็นประเเนร้อนแรงอีกครั้ง เมื่อบริษัทด้านการลงทุน NH Investment & Securities คาดการณ์เมื่อวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมาว่า BLACKPINK จะต่อสัญญากับค่าย YG แน่ๆ แต่ถัดจากนั้นไม่กี่วันที่ 23 ม.ค. กลับมีรายงานจากหนังสือพิมพ์ Munhwa Ilbo ว่า การที่ค่าย YG จะได้ต่อสัญญากับสี่สาวงนี้ไม่ใช่เรื่องงานเพราะพวกเธอต่างได้รับข้อเสนอที่น่าสนใจจากภายนอกมากมาย โดยเฉพาะ “ลิซ่า – ลลิษา มโนบาล” สมาชิกชาวไทยผู้เป็นน้องเล็ฏของวง ข่าวว่าได้รับข้อเสนอให้ย้ายค่ายด้วยเม็ดเงินสูงถึง 1 แสนล้านวอน (กว่า 2,660 ล้านบาท) ซึ่งหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวเชื่อว่า ค่าย YG ถ้าอยากจะสู้ในส่วนนี้ก็คงสู้ไม่ไหว
.
อย่างไรก็ตาม YG จดลิขสิทธิ์เครื่องหมายการค้าทั้งชื่อวง BLACKPINK หรือแม้แต่ชื่อ LALISA MANOBAN ของ “ลิซ่า” เอาไว้แล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งหมายความว่าถ้าย้ายค่ายจริง พวกเธออาจไม่ได้ใช้ชื่อวงเดิม ขณะเดียวกันโปรเจกต์เดี่ยวของ “จีซู BLACKPINK” ที่ประกาศไว้ก็ยังไม่ได้ปล่อย ดังนั้นโอกาสที่พวกเธอจะต่อสัญญาก็มีไม่น้อย
.
นอกจากนี้วงในเผยว่า เพื่อจะรั้งให้สี่สาวให้ยังอยู่กับค่าย YG ต่อไป ทางค่ายต้องยื่นข้อเสนออย่างน้อย 2 หมื่นล้านวอน (กว่า 533 ล้านบาท) ให้พวกเธอแต่ละคน เพราะ ณ เวลานี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า BLACKPINK คือผู้สร้างรายได้มหาศาลของค่าย YG
.
ขณะที่หลายฝ่ายมองว่าการเปิดตัววง “เบบี้มอนสเตอร์” (BABYMONSTER) ว่าที่เกิร์ลกรุ๊ปเบอร์ใหม่ของค่ายก็เพื่อจะเอาไว้รองรับในกรณีที่เจรจาต่อสัญญากับ BLACKPINK ไม่สำเร็จ โดยจากตารางการเดินสายทัวร์คอนเสิร์ต BORN PINK WORLD TOUR ของวง BLACKPINK พวกเธอจะปิดฉากทัวร์ในเดือนมิถุนายน หรือสองเดือนก่อนจะหมดสัญญากับค่าย YG นั่นจึงอาจจะเป็นที่มาให้ทางค่ายจำเป็นต้องเร่งปิดจ็อบไม่ทางใดก็ทางหนึ่งหรือทั้งสองทางให้เร็วที่สุด
.
