หอการค้าฯ หวั่นหากภายในส.ค.ตั้งรัฐบาลใหม่ไม่ได้ อาจเกิดรัฐบาลเปลี่ยนขั้ว-ม็อบลงถนน ฉุดเศรษฐกิจตกต่ำ

0
133

เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.66 นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยผลของการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนพ.ค. ว่า อยู่ที่ระดับ 55.70 จากเดิมอยู่ที่ 55 ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 39 เดือนนับตั้งแต่เดือนมี.ค.63 เป็นต้นมา เนื่องจากผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น หลังจากที่การท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน

นอกจากนี้บรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งที่คึกคักทั่วประเทศ ส่งผลให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันปรับตัวลดลงทำให้ประชาชนรู้สึกผ่อนคลายเรื่องค่าครองชีพลง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการปรับตัวดีขึ้นทุกรายการอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับอัตราเงินเฟ้อสูงและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยและทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐที่ไม่มั่นคงเข้ามาซ้ำเติม ยิ่งส่งผลกระทบทางจิตวิทยาในเชิงลบอย่างมากต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป และการจ้างงานในอนาคต โดยยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้
โดยบริโภคยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในการจัดตั้งและเสถียรภาพทางการเมืองรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ค่าครองชีพที่ยังทรงตัวสูงโดยเฉพาะค่าไฟฟ้า รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สถาบันการเงินของโลก เศรษฐกิจโลกชะลอตัวและสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ตลอดจนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อของประเทศต่างๆทั่วโลกที่อาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งส่งผลลบต่อการส่งออกของไทยทำให้การส่งออกในช่วงนี้หดตัวลง และมีผลกระทบในเชิงลบต่อกำลังซื้อของประชาชนในทุกภูมิภาค

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 50.2 จากเดือนเม.ย.อยู่ที่ 49.4 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม 52.8 เดือนเม.ย.อยู่ที่ 52 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 64.2 เดือนเม.ย.อยู่ที่ 63.6 แสดงว่าผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม ดัชนียังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ (ที่ระดับ 100) แสดงว่าผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคต เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันและค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น ปัญหาเศรษฐกิจโลกและสถาบันการเงินของโลกที่มีความเสี่ยงมากขึ้น

นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า หอการค้าไทยยังคงประมาณการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย หรือจีดีพีปี 2566 คาดจะโตอยู่ในกรอบหรือใกล้เคียง 3.-3.5% ภายใต้สมมุติฐาน ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล แต่รัฐบาลยังมีเสถียรภาพ ไม่มีการประท้วงนอกสภาฯ งบประมาณยังถูกใช้ได้ไปพลางก่อน และงบปี 2567 จะเริ่มใช้ได้ในเดือน ก.พ.-มี.ค.67 และภาคการท่องเที่ยวยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามา 25-28 ล้านคน แต่หากเกิดกรณีการเมืองยืดเยื้อไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ภายในเดือนส.ค.66 แต่รัฐบาลรักษาการยังทำหน้าที่อยู่ และทุกอย่างเดินอยู่ในกรอบรัฐสภาฯจนถึงปลายก.ย.หรือต้นต.ค.66 และเศรษฐกิจโลกยังฟื้น คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะโตได้ 3%

โดยหากจัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว ทิศทางเศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะโตอยู่ในกรอบ 3.6-4% โดยหากไม่เป็นตามที่คาดไว้ การจัดตั้งรัฐบาลมีการเปลี่ยนขั้ว แต่การเมืองมีเสถียรภาพ ไม่มีการประท้วง เศรษฐกิจยังอยู่ในกรอบ 3.6-4% แต่ถ้ามีการเปลี่ยนขั้ว เกิดการประท้วงนอกสภาฯ จนทำให้สถานทูตประกาศแจ้งเตือนพลเมือง หรือนักลงทุน มองว่าเศรษฐกิจไทยอาจโตอยู่ที่ 2.5-3%

Thepoint #Newsthepoint #เศรษฐกิจไทย #หอการค้า #ดัชนีความเชื่อมั่น #จัดตั้งรัฐบาล #ม็อบ #จีดีพี