ในสนามการเมืองยุคใหม่ ตำแหน่ง “โฆษก” และ “รองโฆษก” ไม่ได้มีหน้าที่แค่ตอบคำถามจากสื่อ แต่กลายเป็นนักรบวาทกรรมที่ต้องตีกรอบเกม สร้างกระแส และปั้นภาพจำของพรรคให้ชัดเจน โดยเฉพาะในยุคที่พรรคประชาชน (ไม่ว่าจะหมายถึงก้าวไกล หรือกลุ่มการเมืองใหม่ๆ ที่มีพลังสื่อ) ขยับตัวไว คม และมีท่าทีชัดมากในทุกเรื่อง ขณะที่พรรคเพื่อไทยกลับดู “ช้า หลวม ไม่กล้า” จนทำให้โฆษกและรองโฆษกไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็น “ตัวขับเคลื่อน” ได้
เหตุผลลึกๆ ที่ควรถอดบทเรียนมี 4 ข้อสำคัญ และไม่ใช่แค่เรื่องตัวบุคคล แต่คือ “โครงสร้าง-บริบท-อำนาจต่อรอง” ที่ซ่อนอยู่
หนึ่ง: ไม่มีเอกภาพในหมู่รองโฆษก ไม่มีใครขึ้นมาเป็นตัวจริงในเกมความขัดแย้ง
เมื่อมองไปที่รองโฆษกพรรคเพื่อไทย จะพบว่าไม่มีใครสามารถสร้างคาแรกเตอร์ชัดเจนได้เทียบเท่าฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตอบโต้ คำพูดที่เป็นกระแส หรือแม้แต่การเปิดประเด็นเชิงรุก เหตุผลคือรองโฆษกของเพื่อไทยหลายคนมักถูกวางตำแหน่งมาแบบ “สมดุลกลุ่มอำนาจ” มากกว่า “สมดุลศึกสื่อสาร” พูดง่ายๆ คือ ถูกตั้งเพื่อแบ่งเค้ก แทนที่จะตั้งเพื่อชนเกม ทำให้ไม่มีใครมีบทบาทเด่นจริง และส่วนใหญ่รอให้โฆษกหลักออกหน้าก่อนเสมอ
สอง: โฆษกไม่สามารถปลดปล่อยพลังได้เต็มที่ เพราะติดแผนชั้นในและเงาทักษิณ
แม้จะมีความสามารถในการพูด การวางกลยุทธ์ แต่โฆษกพรรคเพื่อไทยถูกล้อมกรอบด้วยเงาของผู้นำเก่าอย่างทักษิณ จนไม่สามารถแสดงภาวะ “โฆษกของประชาชน” ได้เต็มที่ ทุกการแถลงล้วนเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ไม่สามารถรุกแรง หรือแสดงจุดยืนขัดอำนาจภายในได้ ขณะที่โฆษกจากพรรคประชาชน หรือก้าวไกล กลับมีอิสระเต็มที่ในการ “บวกทุกทิศ” และสร้างน้ำหนักเชิงสัญลักษณ์ให้พรรคดู “กล้าชน”
สาม: รองโฆษกพรรคประชาชนถูกปั้นมาเพื่อเกมบุก ขณะที่เพื่อไทยยังใช้โหมดตั้งรับ
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พรรคประชาชนจำนวนมากสร้างรองโฆษกที่มี “Persona” ชัดเจน เช่น พูดตรง โต้กลับไว ใช้ภาษาโซเชียลเก่ง และมีฐานแฟนคลับออนไลน์ เช่นเดียวกับก้าวไกลที่มีโฆษกหลายคนพูดประเด็นแรงแต่เป็นระบบ และสามารถกลายเป็นไวรัลในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ขณะที่รองโฆษกเพื่อไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในกรอบ “ตอบสื่อ – ถนอมน้ำใจ – ไม่ปะทะแรง” และแทบไม่มีใครที่คนรุ่นใหม่รู้จักเป็นรายชื่อ
สี่: โครงสร้างพรรคและกลไกการสื่อสารไม่สอดรับกัน = ต่อให้โฆษกเก่ง ก็ไม่มีทางเกิด
นี่คือปัญหาสำคัญที่สุด พรรคเพื่อไทยแม้จะมีทุน มีคน แต่ไม่มี “ระบบส่งต่อ Narrative” ที่ทรงพลัง เหมือนที่พรรคประชาชนใช้กลไก Threads, TikTok, เพจรอง, เพจซัพพอร์ต และ Influencer ช่วยขยายเสียงโฆษกทันทีหลังแถลง พรรคประชาชนมีการทำงานร่วมระหว่างทีมสื่อ ทีมปั่นกระแส และทีมพูดแบบบูรณาการ ขณะที่เพื่อไทยยังใช้ระบบเก่า ที่ต้องผ่านหลายชั้น และใช้ทีมการเมืองนำการสื่อสาร ทำให้โฆษกถึงจะพูดดี แต่เสียงไม่ดัง และไม่มีคนช่วยส่งต่อ
บทสรุป: ถ้ายังไม่แก้เกมโครงสร้าง – ต่อให้เปลี่ยนตัวโฆษกก็ไม่รอด
ต่อให้พรรคเพื่อไทยจะเปลี่ยนตัวโฆษกอีกกี่รอบ หรือเลือกคนพูดเก่งแค่ไหนขึ้นมา หากพรรคยังติดกรอบกลุ่มอำนาจ ยังไม่ยอมให้โฆษกมีอิสระ และยังไม่สร้าง ecosystem การสื่อสารให้ทันยุค ก็จะไม่มีทางชนะเกมวาทกรรมที่พรรคประชาชนครองความได้เปรียบอยู่ในปัจจุบัน ยิ่งรองโฆษกยังไร้บทบาท เหมือนม้านั่งสำรองที่ไม่ได้ลงสนาม ก็ยิ่งทำให้ภาพรวมพรรคขาดพลังรุกในศึกประชาชน
ถ้าพรรคอยากกลับมาเป็นพรรคที่ “พูดแล้วทั้งประเทศฟัง” ต้องไม่ใช่แค่มีโฆษกที่พูดเก่ง แต่ต้องมีระบบที่ส่งเสียงให้กลายเป็นพลังของมวลชนอย่างแท้จริง
_____________
#Thepoint #Newsthepoint
#รัฐบาลเพื่อไทย #เพื่อไทย
#พรรคประชาชน #โฆษก #รองโฆษก