เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2568 เพจ “หมอคนหนึ่ง” โพสต์ข้อความถึง การประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บอร์ดสปสช.) ครั้งที่ 11/2568 โดยมี นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมฯ ซึ่งมีวาระพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหางบกองทุนผู้ป่วยใน(IP) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า
“ประชุมบอร์ดสปสช. 3 พ.ย. — วันที่คำว่า ‘ร่วมมือ’ ถูกใช้แทนคำว่า ‘ปฏิรูป’”
บ่ายวันจันทร์ต้นพฤศจิกายน 2568 ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
รมว.สาธารณสุข “พัฒนา พร้อมพัฒน์” เดินเข้าห้องประชุมใหญ่พร้อมทีมผู้บริหารจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และ สปสช.
บนโต๊ะคือเอกสารหนาเตอะว่าด้วย “แนวทางแก้ปัญหางบกองทุนผู้ป่วยใน (IP)”
— วาระร้อนที่คนในวงการแพทย์รอคอยคำตอบมานาน
เพราะก่อนหน้านี้ องค์กรแพทย์ 4 ภาค — ชมรมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด, ชมรมโรงพยาบาลศูนย์/ทั่วไป, ชมรมสถาบันกรมการแพทย์ และกลุ่ม Uhosnet —
เพิ่งรวมพลังยื่นข้อเสนอ “5 ข้อกู้วิกฤตโรงพยาบาล”
ที่พูดตรงๆ ว่า “ระบบสาธารณสุขไทยกำลังขาดเลือด และต้องการการปฏิรูปอย่างจริงจัง”
แต่สิ่งที่ได้จากการประชุมในวันนั้น กลับไม่ถึงขั้นนั้น
“ไม่บาดหมาง แค่ไม่คุยกันบ่อยๆ”
เมื่อเวลาล่วงถึงเย็น นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ แถลงข่าวเคียงข้าง นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดสธ. และ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสปสช.
น้ำเสียงของรัฐมนตรีพยายามอธิบายอย่างนุ่มนวลว่า “สธ.กับสปสช.ไม่ได้บาดหมางกัน แค่ไม่ค่อยได้คุยกัน”
พร้อมประกาศแนวทางใหม่ว่า ต่อจากนี้จะ “ทำงานร่วมกันทุกบอร์ด”
และนั่นคือคำที่ถูกพูดซ้ำหลายครั้งในห้องแถลงข่าว —
“ร่วมกัน” “ประสานกัน” “ตรวจสอบร่วมกัน” “วางแผนร่วมกัน”
แต่สิ่งที่ไม่ได้พูดออกมาคือ “ใครจะเป็นคนตัดสินใจจริงๆ” และ “เสียงของหน่วยบริการจะได้ยินเมื่อไร”
“8,350 บาทต่อ AdjRW” — ตัวเลขที่ยังค้างอยู่กลางโต๊ะ
ที่ประชุมเห็นชอบให้อัตราค่าชดเชยผู้ป่วยใน (IP) สำหรับปีงบประมาณ 2569 อยู่ที่ 8,350 บาทต่อ AdjRW
เท่ากับปีที่ผ่านมา — ทั้งที่โรงพยาบาลรายงานว่าต้นทุนจริงต่อการรักษาอยู่ราว 15,000–20,000 บาท
นั่นหมายความว่า แม้จะพูดถึง “การร่วมตรวจสอบต้นทุน” แต่ผลลัพธ์กลับไม่ได้สะท้อนต้นทุนจริงใด ๆ
หน่วยบริการจึงยังต้อง “รักษาในงบที่ไม่พอ” เหมือนเดิม
ส่วน “ระบบรีรัน” ที่เคยช่วยปรับยอดย้อนหลัง ก็ถูกยกเลิกไป โดยให้เหตุผลว่า “ไม่มีคำว่ากำไรขาดทุนอีกต่อไป”
หรือพูดอีกอย่าง — ขาดทุนก็ไม่เรียกว่าขาดทุน
“การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ที่เรียกว่าความคืบหน้า”
สปสช.ประกาศจะโอนงบ OP และ PP ล่วงหน้า 50% เพื่อเสริมสภาพคล่อง
ปลัดสธ.บอกว่าจะตั้งคณะทำงานร่วม ตรวจสอบข้อมูล คำนวณใหม่สำหรับปีต่อไป
ทั้งหมดนี้คือการ “แก้เกมเฉพาะหน้า” ที่ดีในระยะสั้น
แต่ยังไม่มีกรอบระยะยาวว่าจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างงบประมาณปลายปิดอย่างไร
ไม่มีคำตอบเรื่อง “การคัดเลือกบอร์ด สปสช.” ใหม่ตามข้อเสนอขององค์กรแพทย์
ไม่มีการเปิดเผยงบกองทุนอย่างเป็นระบบ
และไม่มีคำมั่นว่าจะหยุดเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่เกินงบประมาณจริง
เรียกได้ว่า จาก “ข้อเสนอ 5 ข้อ” ของภาคสนาม
วันนั้นรัฐบาลตอบกลับมาด้วยเพียง “ความร่วมมือเชิงบริหาร”
“ไม่ปฏิรูป แค่ปรับปรุง” — คำที่บอกมากกว่าที่คิด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงคำว่า “ปฏิรูป สปสช.”
รัฐมนตรีตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
> “คำว่าปฏิรูป คือการลบของเดิมเพื่อสร้างของใหม่… เราไม่อยากใช้คำนี้”
เขาเลือกใช้คำว่า “ปรับปรุงให้ดีขึ้น” แทน
ฟังดูเหมือนเรื่องคำพูด แต่สำหรับคนในระบบ มันคือสัญญาณสำคัญ
เพราะถ้า “ไม่กล้าใช้คำว่าปฏิรูป” —
ก็หมายความว่า “ไม่กล้าแตะโครงสร้างเดิม” ที่เป็นรากของปัญหา
“สรุป… เราแค่คุยกันมากขึ้น แต่ระบบยังเหมือนเดิม”
หลังจบการประชุม บางโรงพยาบาลได้รับงบชั่วคราวเพิ่มขึ้น
แต่ต้นเหตุของความไม่พอ — ระบบงบปลายปิด การจ่ายที่ต่ำกว่าต้นทุน และโครงสร้างบอร์ดที่ขาดตัวแทนหน่วยบริการ — ยังคงอยู่ครบ
มันจึงไม่ใช่ “ปฏิรูป” อย่างที่หมอ พยาบาล และหน่วยบริการหวัง
แต่เป็น “การต่อชีวิตระบบ” ไปอีกหนึ่งปี โดยยังไม่มีคำตอบว่าปีหน้า
จะต้องมานั่งคุยเรื่องเดิม ๆ อีกหรือไม่
ในวันที่รัฐบาลพูดถึง “ความร่วมมือ” อย่างภาคภูมิ
คนทำงานหน้างานกลับยังรอฟังคำว่า “ความเข้าใจ”
เพราะในระบบที่ขาดเลือด — การคุยกันมากขึ้นอาจช่วยได้แค่บรรเทา
แต่สิ่งที่ทุกคนต้องการจริง ๆ คือ “การเปลี่ยนแปลงที่เจ็บแต่จบ” ไม่ใช่ “การประคองที่ไม่ไปไหน”
_____________
ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/17DxbHxVbL/
#Newsthepoint
#สปสช #บัตรทอง #ประกันสังคม
#วิกฤตโรงพยาบาล

