คำประกาศของ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ว่าเป็น “DNA ลุงตู่” เคยสร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองอย่างมาก เพราะทำให้เขาถูกจับตาว่าจะเป็นตัวแทนสายตรงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งในเชิงอุดมการณ์และยุทธศาสตร์สืบทอดอำนาจทางการเมือง แต่เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์เผชิญแรงวิพากษ์วิจารณ์ พีระพันธุ์กลับเลือกจะไม่ออกมา “ปกป้อง” หรือ “พูดแทน” อย่างที่หลายฝ่ายคาดหวัง
คำประกาศที่ผูกพันกับความคาดหวัง
ในแวดวงการเมือง คำว่า “DNA” ไม่ใช่เพียงคำเปรียบเปรย แต่สะท้อนถึงการยืนอยู่ข้างใครอย่างชัดเจน ดังนั้น เมื่อพีระพันธุ์เลือกใช้คำนี้ ย่อมทำให้ผู้สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เชื่อว่าเขาจะพร้อมรับไม้ต่อและยืนเคียงข้างแม้ในยามลำบาก
การคำนวณเชิงยุทธศาสตร์
แต่หากมองอีกด้าน การนิ่งเงียบอาจสะท้อนถึงการ “คำนวณการเมือง” อย่างรอบคอบ พีระพันธุ์อาจเห็นว่าการปกป้องผู้นำที่กำลังเผชิญแรงต้านอาจไม่ก่อผลดีต่อเส้นทางของตน การรักษาระยะห่างในบางจังหวะจึงอาจเป็นกลยุทธ์เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกผูกติดกับภาระของอดีต
ความสงสัยที่ตามมา
อย่างไรก็ตาม ความไม่สอดคล้องระหว่างคำพูดกับการกระทำย่อมทำให้เกิดข้อสงสัย—ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็น “ทายาททางการเมือง” ของ พล.อ.ประยุทธ์จริงหรือเพียงหยิบยืมชื่อเพื่อสร้างแรงสนับสนุนในบางช่วงเวลา เมื่อไม่ยืนเคียงข้างในยามวิกฤต ความเชื่อมั่นในฐานะ “DNA ลุงตู่” จึงสั่นคลอน
ทางเลือกข้างหน้า
• ถ้าเลือกยืนแบบเป็นตัวของตัวเอง: พีระพันธุ์อาจสร้างภาพลักษณ์ใหม่ว่าไม่ต้องพึ่งพาใคร และกลายเป็นนักการเมืองที่มีความเป็นอิสระ
• ถ้าเลือกกลับไปยืนชัดกับลุงตู่: เขาจะได้ฐานเสียงเดิมคืน แต่ต้องยอมรับแรงกดดันและข้อครหาที่ตามมาด้วย
บทสรุป
สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนความจริงของการเมืองไทยว่า “การประกาศ” กับ “การยืนหยัด” มักไม่ไปในทิศทางเดียวกันเสมอไป สำหรับพีระพันธุ์ การนิยามตัวเองว่าเป็น “DNA ลุงตู่” เคยช่วยสร้างพื้นที่ทางการเมือง แต่ในวันที่ไม่ออกมาปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ทำให้พื้นที่นั้นเต็มไปด้วยคำถามมากกว่าคำตอบ
_____________
#Thepoint #Newsthepoint
#DNAลุงตู่ #พีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค
#ประยุทธ์ #คิดถึงลุงตู่