หน้าแรกข่าวเด่น'จตุพร'ลากไส้'เศรษฐา'สมัยยุค'ยิ่งลักษณ์'ก่อนถึงจุดรบ.พินาศ!!ตอก'เพื่อไทย'นี่ประเทศไม่ใช่มานั่งชมความสำเร็จการขายหมู่บ้าน

‘จตุพร’ลากไส้’เศรษฐา’สมัยยุค’ยิ่งลักษณ์’ก่อนถึงจุดรบ.พินาศ!!ตอก’เพื่อไทย’นี่ประเทศไม่ใช่มานั่งชมความสำเร็จการขายหมู่บ้าน

นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทย ตอน “เปิดตัวจริงหรือ?” โดยกล่าวถึงการเปิดตัวของนายเศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศ ถูกแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ว่า กรณีของนายเศรษฐา เปิดตัวก็ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ ตรวจสอบเข้มข้น ซึ่งไม่ยกเว้นกระทั่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จาก พลังประชารัฐ (พปชร.) นายอนุทิน ชาญวีระกูล จากภูมิใจไทย และพล.อ.ประยุทธ์ จากรวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก็ต้องตรวจสอบภาวะผู้นำที่จะนำพาความหวังประชาชนเช่นกัน และความเป็นผู้นำต้องอดทนในการชี้แจง
.
นายจตุพร ระบุว่า เมื่อนายเศรษฐา เปิดตัว ถูก พล.อ.ประยุทธ์ วิจารณ์หนักในด้านความเก่ง ทำอะไรมา กลับไม่ตอบให้ตรงและชัดเจนเพื่อแสดงถึงภาวะผู้นำ แต่ไปยกย่องให้ พล.อ.ประยุทธ์ มีวุฒิภาวะที่เหนือกว่า แล้วหลีกเลี่ยงข้อครหาอันเป็นสาระสำคัญที่ว่า เศรษฐกิจประเทศไม่ใช่ธุรกิจของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง สิ่งน่าสนใจ เห็นว่า เมื่อนายเศรษฐา ถูกคาดหมายจะมาเป็นผู้นำประเทศ ก็ต้องตอบข้อครหาเชิงกล่าวหาของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่มาแสดงมารยาททางสังคมต้องเชื่อฟังคนแก่กว่า ซึ่งประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไรกับความคาดหวังในภาวะผู้นำของประเทศเช่นนี้
.
“นายเศรษฐา ไม่ได้เป็นคนใหม่เลย สมัยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้ไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นทางการ แต่ก็เป็นที่ปรึกษาที่ไม่เป็นทางการคนหนึ่งในจำนวนสามคน รวมถึงทักษิณและ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย จนนำไปสู่การล่มสลายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่สำคัญตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ และ รมต.สาธารณสุข ก็เป็นคนของนายเศรษฐา ซึ่งทั้งสองจุดนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพินาศย่อยยับของรัฐบาลยิ่งลักษณ์”นายจตุพร กล่าว
.
นายจตุพร ย้ำว่า เมื่อเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนมีส่วนให้เกิดความล่มสลายแล้ว ความสำเร็จในฐานะที่ปรึกษา จึงยากจะนำมากล่าวอ้างได้ แต่เมื่อได้เป็นที่ปรึกษาของหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย หรือเป็นที่ปรึกษาอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร จึงส่อแนวโน้มเจ๊งไม่แตกต่างกันกับเหมือนเป็นที่ปรึกษาของยิ่งลักษณ์
.
นอกจากนี้ นายจตุพร สงสัยในช่วงขณะทำธุรกิจว่า มีพฤติกรรมที่ขาดธรรมาภิบาลในหลายธุรกรรมหรือไม่ ซึ่งต้องได้รับการพิสูจน์ข้อกล่าวหา และเมื่อมีการเปรียบเทียบธุรกิจครอบครัวกับเศรษฐกิจประเทศแล้ว นายเศรษฐา ต้องตอบ และโชว์วิสัยทัศน์ผู้นำที่โดดเด่นของที่ปรึกษาออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ชัด
.
“นายเศรษฐา จะมาอย่างไร ผมไม่รู้ แต่ทั้งหมดต้องได้รับการตรวจสอบจากขบวนการประชาชนทุกอย่าง แม้จะเข้ามาทางการเมืองเต็มตัวหรือไม่ก็ตาม แต่คนอยู่ในพรรคนั่งหัวดำหัวขาวไม่ถามเป็นใครละ คุณมาจากไหนเอาแต่ความสะอาด เอาแต่ดีหรือ? ส่วนคนอื่นมีความเดือดร้อนสารพัด เพราะนี่เป็นการเดิมพัน ไม่ใช่เอาดี หรือไม่ดีก็ไม่เอา นี่บ้านเมืองและประเทศไทย”นายจตุพร กล่าว
.
นายจตุพร กล่าวถึง พล.อ.ประยุทธ์ ว่า เมื่อมีการตรวจสอบหมู่บ้านหรูบางกอก บูเลอวาร์ด ซอยลาซาล ก็ต้องตรวจนายเศรษฐาและทุกหมู่บ้านที่เข้าข่ายขายบ้านเป็นนอมินีให้ต่างชาติเช่นกัน รวมถึงการตรวจสอบในตลาดหลักทรัพย์ด้วย อย่างไรก็ตาม คนที่มีหน้าที่ในบ้านเมืองแล้วไม่ตรวจสอบย่อมทำให้ประเทศเสียหายและเลวไม่ต่างกัน หรือแค่พูดเพื่อใช้ในการหาเสียง หลังจากนั้นก็ดีกัน ใครเป็นรัฐบาลก็เอื้อต่อกันอีกเช่นเดิม
.
ส่วนนักการเมืองเพื่อไทย นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าเป็นคนการเมืองที่ต่อสู้มาแล้ว จะต้องถามว่าเอาใครมา ต้องพูดความจริงกัน ไม่ใช่มานั่งชื่นชมความสำเร็จในการขายหมู่บ้าน แต่นี่เป็นประเทศ ซึ่งตนไม่ได้เข้าข้าง พล.อ.ประยุทธ์ เพราะทำให้ประเทศฉิบหายอีกแบบหนึ่งเช่นกัน
.
“สิ่งที่พูดวันนี้ จะบอกว่าบ้านเมืองไม่ใช่ของทดลองของใครคนใดคนหนึ่ง และไม่ใช่ว่าเจ้าของพรรคจะพึงพอใจใครคนใดคนหนึ่ง ประเทศนี้จะอยู่อย่างไร มีนายกรัฐมนตรีเพื่อจะมีนายกรัฐมนโทหรือ? มันซ่อนอำนาจกันตลอดเวลา แล้วสุดท้ายคืออะไร ดังนั้น จึงต้องการให้ได้คนที่มีศักยภาพ เพราะคนเก่งในบางวงการกับการบริหารประเทศคนละเรื่องกัน”นายจตุพร กล่าว
.
นายจตุพร ย้ำว่า การถนัดในด้านธุรกิจแต่ละเรื่องกับการบริหารประเทศจึงต้องผ่านการพิสูจน์ ต้องไม่ติดกับดักสิ่งที่พูดถึงแต่คนดี คนเก่งไม่โกง หรือเก่งแต่โกง ดีแต่โง่ และโง่แล้วโกง แล้วบ้านเมืองจะไปกันอย่างไร ถ้านายเศรษฐา เป็นคนเก่ง หากนำผลงานที่ผ่านการพิสูจน์แล้วมาเรียงให้เป็นที่ประจักษ์ในด้านการช่วยเหลือสังคมและเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ซึ่งอาจจะมีและคงจะทำ แต่ตนไม่เคยได้ยินว่า ได้ทำอะไรเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เพราะสิ่งสำคัญเมื่อจะมาเป็นผู้ปกครองประเทศได้ทำอะไรมาบ้าง ประชาชนจะได้ฝากอนาคตที่มีความหวังกับนายเศรษฐาได้
.
“ผมต้องวิพากษ์วิจารณ์ เพราะเมือปี 2554 ถึง 2557 มันเกิดกรณีนี้ขึ้นมา แต่เราเป็นสังคมประจบสอพลอ กองเชียร์ต้องสรรเสริญเยินยอเป็นคนเก่ง เป็นมือเศรษฐกิจ เขาให้ไปสู้กับ พล.อ.ประยุทธ์ แต่กลับยกยอเอาเรื่องวัยวุฒิมาอ้าง แบบเป็นคนแก่กว่าก็ต้องฟัง มันคนละเรื่องของที่ปรึกษาประเทศ”นายจตุพร กล่าว
.

ThePoint #Newsthepoint #ข่าวการเมือง #จตุพรพรหมพันธุ์ #เพื่อไทย #เศรษฐาทวีสิน

Must Read

Related News

- Advertisement -