วันนี้(31 พ.ค.) ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) เป็นผู้เสนอ โดยนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ได้ลุกขึ้นอภิปรายคนแรกโดยระบุว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านให้ความสำคัญกับร่างกฎหมายนี้ เพราะเป็นร่างงบประมาณปีสุดท้ายก่อนรัฐาลครบวาระ ที่ตามอายุรัฐบาลก็จะครบในวันที่ 23 มี.ค. 66 แต่เชื่อว่าอาจมีเหตุการณ์ทำให้รัฐบาลหมดอายุเร็วกว่านั้น
.
ทั้งนี้งบฯปี 66 ที่ครม.ขออนุมัติจากสภาฯ อ้างว่าจะไปพัฒนาประเทศ และแก้ไขปัญหาตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ นั้น ทุกปีสภาฯไม่เคยปฏิเเสธ ส่วนใหญ่ฝ่ายค้านมีมติเห็นชอบในชั้นวาระรับหลักการ เพราะเข้าใจความจำเป็นในการใช้งบประมาณ แต่2-3ปีที่ผ่านมารัฐบาลไม่เห็นหัวประชาชน จึงมีผลสัมฤทธ์การใช้งบที่ไม่ตอบโจทย์และผู้บริหารงบประมาณ ทั้งนายกฯและรัฐบาลที่จะนำเม็ดเงินไปใช้ เรามีข้อสรุปว่าเราไม่สามารถรับหลักการนี้ได้ เพราะจะเป็นการทำลายประเทศ แม้ว่าจะสูญเสียโอกาสไปบ้าง แต่เพื่อนำไปจัดสรรใหม่ให้เกิดประโยชน์
.
ส่วนเหตุผลที่ไม่รับร่าง เพราะเป็นรัฐบาลหมดสภาพและสิ้นสภาพไปแล้ว ซึ่งมีหลักฐานเชิงประจักษ์ทั้งการบริหารจัดการมาตรการที่จำเป็นต่างๆ บริหารด้วยวาจา แก้ตัวโยนโทษให้คนอื่น และพยายามเหนี่ยวรั้งหาโอกาสอยู่ต่อสืบทอดอำนาจ ขณะที่นายกฯเอง เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังเคารพ แต่ตัวท่านเองไม่เคารพตัวเอง นอกจากขาดความรู้ความสามารถบริหารจัดการประเทศจนล้มเหลวแล้ว ยังบอกว่าจะคืนความสุขให้ประชาชน ถามว่า 8 ปีที่ผ่านมานั้นมีหรือไม่ มีแต่คืนความสุขให้แต่พวกพ้อง นอกจากนี้เชื่อมั่นว่านายกฯ จะมีจิตสำนึกรับผิดชอบในสิ่งที่ไม่สามารถบริหารประเทศได้ ควรยุบสภาหรือลาออก
.
จากนั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นชี้แจงต่อจากนพ.ชลน่าน ทันที โดยระบุว่า ที่อ้างว่ามีการใช้จ่ายงบฯในการลงทุนลดลงกว่าที่เสนอไว้นั้น เมื่อถึงขั้นการพิจารณาของฝ่ายนิติบัญญัติในชั้นกรรมาธิการวิสามัญได้มีการปรับลดรายจ่ายการลงทุนลง ถามตนตั้งมาแล้วใครเป็นคนตัด และที่บอกว่าตัดแล้วไปใช้งบกลางนั้น ในส่วนของงบกลางไม่ได้สั่งใช้เองได้ทั้งหมด เพราะเป็นเรื่องที่ต้องเสนอโครงการเข้าคณะรัฐมนตรี(ครม.) และต้องใช้กับโครงการที่ไม่ได้รับงบประมาณหรือโครงการอื่นๆ ที่รออยู่ พร้อมปรับให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่
.
นายกรัฐมนตรี ระบุอีกว่า วันนี้ไม่ใช่จะให้ใครก็ให้ได้เลย ซึ่งไม่เหมือนสมัยก่อนที่บางคนประกาศไว้ว่า ถ้าไม่เลือกก็ไม่ให้ แต่รัฐบาลนี้มีโครงการลงทุกพื้นที่ ทุกจังหวัด ส่วนที่อ้างว่าส่อโกงอะไรต่างๆ ก็ให้ไปพิสูจน์กันในกระบวนการยุติธรรม หากมีหลักฐานก็ฟ้องร้องกันไป พร้อมกันนี้กรุณาย้อนกลับไปดูด้วยว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นในกระบวนการยุติธรรม มีติดคุกมีคดีหรือไม่
.
