หน้าแรกสังคมสรุปดราม่า "เม พรีมายา" ร่ำไห้! หุ้นส่วนฮุบกิจการ คลินิกดังลั่นไม่ใช่รายแรก

สรุปดราม่า “เม พรีมายา” ร่ำไห้! หุ้นส่วนฮุบกิจการ คลินิกดังลั่นไม่ใช่รายแรก

หลังจากประเด็นร้อน “เม พรีมายา” หรือ พิชญ์นรี ตันติวิทย์ CEO สาวเจ้าของแบรนด์อาหารเสริมชื่อดัง ออกมาเปิดใจผ่านรายการ “โหนกระแส” ถึงประสบการณ์เจ็บปวดจากการถูกเพื่อนสนิทและหมอร่วมธุรกิจคลินิกฮุบกิจการไปอย่างไม่คาดคิด จนทำให้กลายเป็นคนหวาดระแวง ไม่ไว้ใจใครอีก พร้อมเผยว่าตนเองยังถูกแจ้งข้อหาบุกรุกบริษัทของตัวเอง

เม พรีมายา เล่าว่าช่วงที่พรีมายาโด่งดัง มีผู้หญิงคนหนึ่ง (สมมุติชื่อ “คุณยา”) ทักมาชวนทำคลินิกร่วมกัน ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน โดนทางคุณยาอ้างว่ามีทีมหมอพร้อม และจะให้หมอสองคนย้ายมาจากคลินิกเดิมเพื่อร่วมทีม สุดท้ายจึงร่วมกับคุณยาและหมออีก 2 คน ก่อตั้งคลินิกขึ้นมาด้วยกัน รวมเป็น 4 หุ้นส่วน

จากนั้นได้ก่อตั้งธุรกิจ จนแบ่งสัดส่วนหุ้น เริ่มธุรกิจด้วยการถือหุ้น 30% (เม, หมอ 1, ยา) และหมอ 2 อีก 10% เมเสนอให้หมอ 2 ได้หุ้นเพิ่มเป็น 25% เพราะทำงานหนัก จึงยอมลดสัดส่วนหุ้นให้ก่อน ต่อมาอีก 2 คนยอมลดตาม ทำให้ทุกคนถือหุ้นเท่ากัน 25%

คลินิกเริ่มจาก 1 สาขา ขยายเป็น 3 สาขา (ทองหล่อ, สยาม, เลียบด่วน) ส่วนสาขาทองหล่อปิดไปก่อนเพราะค่าใช้จ่ายสูง ต่อมาคงเหลือสาขาสยามและเลียบด่วน เมตั้งข้อสังเกตว่า ที่ทางอีกฝ่ายแถลงการณ์ โยนความผิดให้เมว่าเป็นเหตุให้ยอดตก แต่เมยืนยันว่าเหตุการณ์ไม่สอดคล้องกัน แต่ทางคลินิกยังคงใช้ชื่อ “พริมยา” จากนั้นทางเมเริ่มเจอดราม่า ส่งผลกระทบต่อธุรกิจและครอบครัว

วิกฤติดราม่า ดังกล่าวเกิดจากคลินิก “พริมญ่า” ดำเนินการได้ดี แต่เริ่มมีปัญหา เมื่อเมต้องคดีความ ซึ่งกระทบภาพลักษณ์ธุรกิจ ทางหุ้นส่วนมาขอให้เม ถอนหุ้น และออกจากการเป็นกรรมการ เพื่อไม่ให้กระทบต่อบริษัท ตนจึงตัดสินใจ “ลาออกจากการเป็นกรรมการ” และ “ถอนชื่อออกจากบริษัท” ด้วยความเต็มใจ โดยหวังให้ธุรกิจดำเนินต่อได้

เม “ฝากหุ้น 25% ไว้กับหุ้นส่วนทั้ง 3 คน” โดยกระจายถือกันเท่า ๆ กันตามที่อีกฝ่ายเสนอมา แม้จะไม่มีชื่อในบริษัท แต่คุณเมยังคงได้รับ “ผลตอบแทน” ทางการเงินจากธุรกิจคลินิกอย่างต่อเนื่อง กระทั่งคดีสิ้นสุด จึงขอกลับมา “ถือหุ้นเหมือนเดิม” และอีกฝ่ายก็เสนอ “2 ออปชั่น”

Option 1 ถือหุ้น 25% แต่ต้องกลับมาทำงาน และ “ห้ามออกหน้า”

Option 2 ถือหุ้นลดเหลือ 12.5% (รวมทุกสาขา) ไม่ต้องทำงาน แค่รอรับปันผล โดยต้องใช้ชื่อบุคคลอื่น (Nominee)

เมจึงเลือก Option 1 เพราะอยากกลับมาทำงานและมีส่วนร่วมในการเติบโตของบริษัท แต่ถูกแจ้งว่าห้ามมีสิทธิใน สาขาใหม่ที่กำลังจะเปิด ทั้งที่อยู่ในแผนเดิมร่วมกันตั้งแต่ต้น ซึ่งเมบอกว่า ก่อนนี้ ตนยังได้ ปันผลปกติ และยังช่วยโปรโมทแบรนด์ รวมถึงออกค่าใช้จ่ายแทนบริษัท (ทั้งรูดบัตร, เลี้ยงพนักงาน ด้วยเงินตัวเอง) พอขอกลับมาถือในชื่อของตัวเอง กลับถูกปฏิเสธ และต้องใช้ชื่อคนกลางที่อีกฝ่าย “สบายใจ”  โดยทางอีกฝ่ายขอให้ใช้ชื่อ น้องสาวตน เป็นผู้ถือหุ้นแทน

สาเหตุที่อีกฝ่ายไม่สบายใจให้เมกลับเข้ามาถือหุ้นในชื่อเดิม เพราะ “กังวลเรื่องชื่อเสียง” แม้เมย์จะเป็นผู้ก่อตั้ง เมยอมรับว่า ความสัมพันธ์เริ่มเปลี่ยนตั้งแต่บริษัทเติบโตขึ้น และหุ้นส่วนทั้ง 3 มีชื่อเสียงมากขึ้น

ประเด็นเรื่องบริษัทใหม่โผล่ขึ้นมา  สาขาที่ 4 ของคลินิกเปิดภายใต้บริษัทใหม่ (ข.ไข่) แต่ใช้ชื่อเดิมและฐานข้อมูลเดิมของบริษัทแรก (ก.ไก่) ที่เมถือหุ้นอยู่ (โดย ข. ไม่มีคุณเม ร่วมด้วย)  ซึ่งการประชุมเพื่อหาทางออกร่วมกัน เกิดความล้มเหลว เพราะตัวแทนอีกฝ่ายแจ้งชัดว่า “คุณหมอ 2 คน จะทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องรายงานเม เพราะเมก็ได้กำไรไปแล้ว” ฝั่งคุณเมตั้งคำถามว่า ถ้าบริษัทก่อตั้งมาด้วยกัน แล้วอีกฝ่ายเปิดคลินิกใหม่ซ้อนกันแบบนี้ โดยใช้ชื่อเดิม–ช่องทางเดิม–ลูกค้าเดิม โดยไม่แจ้งผู้ถือหุ้นเก่า มันทำได้หรือ?

นอกจากนี้ยังมีการให้ลูกค้าโอน “มัดจำ” เข้าบัญชีบริษัทก.ไก่ (ที่คุณเมถือหุ้น และสามคนถือ ) แต่ยอดใหญ่หลังจบหัตถการ (หลักหมื่น) กลับโอนเข้าบริษัทข.ไข่ (ที่ไม่มีชื่อคุณเม) โดยตนตั้งข้อสังเกตว่า นี่อาจทำให้บริษัทก.ไก่เสียผลประโยชน์ ทั้งที่พนักงาน-ช่องทางขาย-ลูกค้า เป็นของบริษัทก.ไก่

จากนั้นถูกตัดขาดจากบริษัท หลังการประชุมไม่ลงตัว คุณเมถูกเตะออกจากทุกกลุ่มบริษัท ทั้งกลุ่มรายรับ–รายจ่าย, มาร์เก็ตติ้ง และบริหาร อีกฝ่ายส่งตัวแทนมาเคลียร์ ไม่มาพูดเอง ทำให้เมรู้สึกว่าไม่มีเจตนาแก้ปัญหาอย่างจริงใจ

คุณเมส่งหนังสือขอตรวจสอบบัญชีตามสิทธิผู้ถือหุ้น โดยวันที่เข้าไปตามนัด มีการต้อนรับปกติ แต่กลับมีตำรวจมาแจ้งข้อหา “บุกรุก” ภายหลัง ถูกแจ้งเพิ่มอีก 2 คดี คือ หมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เมระบุว่า ตนส่งหนังสือแจ้งล่วงหน้าเพื่อเข้าตรวจสอบบัญชีในฐานะผู้ถือหุ้น แต่เมื่อไปถึง กลับไม่มีผู้บริหารมา มีตำรวจมาแทน พร้อมกล่าวหาว่าบุกรุก คุณเมยืนยันว่าเข้าบริษัทตัวเอง ไม่ใช่บุคคลภายนอก และตำรวจกลับหลังเห็นเอกสาร ตนแค่ต้องการตรวจสอบว่าเงินจากบริษัทที่ตนถือหุ้น ถูกนำไปใช้กับบริษัทใหม่หรือไม่

“ฝั่งคลินิกแถลงตอบโต้” โดยกล่าวว่า เมทำให้แบรนด์เสียชื่อเสียง ทำรายได้ตก จนต้องปิดสาขาไป เมลาออกเองและเสนอขายหุ้น บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อจาก พริมญา เป็น เดอมาทริส ยืนยันว่าเมย์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอีกแล้ว และศาลประทับรับฟ้องบางคดีแล้ว

ทั้งนี้ตนไม่ได้อยากฟ้อง และอดทนรอมาตลอดเพราะศาลสั่งให้ไกล่เกลี่ยตั้งแต่มกราคม–กันยายน 2568 แต่สุดท้ายกลับต้องฟ้อง เพราะไม่สามารถตกลงกันได้ เสนอหลายทางเลือกให้ผู้ถือหุ้นอีกฝ่าย เช่น ให้ซื้อหุ้นคืน, ขอซื้อหุ้น 75%, หรือผ่อนชำระ 3–5 ปี แต่ทุกข้อเสนอไม่ได้รับการตอบสนอง ตนรู้สึกเสียใจ เพราะในอดีตเธอร่วมสร้างแบรนด์ ใช้ชื่อเสียงช่วยโปรโมท ไม่เคยบ่นเรื่องรายได้ แต่วันนี้กลับถูกกันออกและ ปิดบริษัทโดยไม่แจ้งผู้ถือหุ้น

ต่อมา Waleerat Clinic โพสต์ข้อความ “คุณเม พรีมายา ไม่ได้โดนเป็นคนแรก” ชวนคนอยากรู้มารวมตัว ขณะที่หมอกวางออกมาเล่าผ่าน Tiktok หลังชมรายการโหนกระแสว่า ตนเคยได้รับความเสียหายทางธุรกิจ ชื่อเสียง และจิตใจ มาตั้งแต่ปี 2562 แต่เลือกเงียบมาตลอด พร้อมย้ำว่า “คนเราไม่เปลี่ยนพฤติกรรม” และสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ก็ไม่ต่างจากอดีตเพียงแค่เปลี่ยนผู้ถูกกระทำ โดยหมอกวางเผยเพิ่มเติมว่า หมอรายดังกล่าวเคยเป็นแพทย์ประจำคลินิกแต่ไม่เคยถือหุ้นร่วมกัน กระทั่งวันที่ 23 ส.ค. 2562 หมอ 4 คนพร้อมใจกันไม่เข้ากะและลาออกจากไลน์กลุ่มทันที ทำให้เธอต้องบินกลับไทยด่วนเพื่อรับมือวิกฤต และมองว่าเป็นบทเรียนครั้งใหญ่ที่ทำให้หมดศรัทธาว่า “หมอจะไม่เทงานหรือผิดจรรยาบรรณ” ขณะเดียวกัน Mai Choocham ก็แชร์โพสต์ของ Waleerat Clinic พร้อมแคปชั่น “ไม่ใช่แค่เม ไม่ใช่แค่วลีรัตน์ที่โดน ฉันก็ด้วย” และเปิดเผยว่าไม่ได้รับค่าจ้างตั้งแต่ปี 2565 ทั้งที่ตกลงไว้ 3 แสนบาทแต่ไม่ได้รับการจ่ายเงิน

_____________

#Newsthepoint

#เมพรีมายา #พิชญ์นรีตันติวิทย์

#คลินิกพริมายา

Must Read

Related News

- Advertisement -