นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชนและอดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เฟซบุ๊คไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ระบุว่า ขณะนี้ฝ่ายนิติบัญญัติอยู่ในช่วงการล่มสลาย เพราะ ส.ส.และพรรคการเมืองล้วนหวังประโยชน์ส่วนตนไปลงพื้นที่หาเสียงให้ได้เป็น ส.ส. ทั้งที่ก็เป็น ส.ส.อยู่แล้ว ดังนั้น เชื่อว่าความเสื่อมนี้จะวิวัฒนาการไปถึงการยุบสภาในเวลาอันใกล้
.
นายจตุพร ระบุว่า การพยายามพูดอย่างทำอย่าง ไม่รักษาสัจจะวาจาทุกเรื่องราว โดยทิ้งสัจจะวาจาให้กับนักประชาธิปไตยเพื่อหวังภาพใหญ่จะได้เสียงมาก จนมีคำกล่าวของ ผู้สมัครบางพรรค อ่านแล้วทุกข์ใจ เพราะระบุว่าสังกัดพรรคเป็นนักประชาธิปไตยมานานหลายปี แต่เมื่อบ้านใหญ่ย้ายจากเผด็จการมาสังกัดพรรค จึงต้องกระเด็นออกไปเป็นเผด็จการอย่างไม่ทันตั้งตัว สิ่งนี้สื่อถึงความไม่มีสัจจะวาจาของพรรคการเมืองที่ทิ้งใครก็ได้ เพียงแค่ให้ได้เสียงมากกลับเข้ามา
.
นายจตุพร กล่าวว่า ที่ผ่านมา เราจึงอยู่กับคำหลอกลวงในระบอบเผด็จการประชาธิปไตยจอมปลอมทั้งสิ้น มีกรณีอย่างน้อย ส.ส.เพื่อไทย 2 คนเคยโหวตสวนมติพรรค แต่คนหนึ่งอยู่ได้ในพรรคต่อ แต่อีกคนถูกขับออกจากพรรค ดังนั้น จึงแสดงถึงไม่ได้เป็นประชาธิปไตยจริงที่สะท้อนมาจากจิตใจ จุดยืน และอุดมการณ์ทางสังคม แต่เป็นประชาธิปไตยของพ่อค้า ที่ต้องเดินตามรอยบริษัทประชาธิปไตยจำกัด ขีดเส้นให้เดิน
.
“รูปแบบกงสีธิปไตยสะท้อนออกมาแค่ต้องการเสียงให้มากที่สุด แต่ไม่เน้นให้เกิดความชอบธรรมตามแนวทางประชาธิปไตยแท้จริง ดังนั้นเมื่อสูญสิ้นความชอบธรรมแล้ว ผลลัพธ์จึงเป็นคนละเรื่อง คือ กลายเป็นนักประชาธิปไตยจอมหลอม หลอกลวงเอาแต่ประโยชน์ส่วนตน เข้าบริษัทกงสี ธุรกิจครอบครัว”นายจตุพร กล่าว
.
นายจตุพร ระบุว่า เชื่อว่า การยึดอำนาจเมื่อปี 2557 เป็นการสมคบคิดกันของกลุ่มอำนาจกงสีธิปไตย เพราะช่วงก่อนยึดอำนาจไม่กี่วันนั้น ตนถามแต่ไม่มีใครตอบ ตนถามว่ามีใครอยู่กับใคร และใครถูกส่งไปคุยที่ต่างประเทศ ดังนั้น จึงสกัดคนมาชุมนุมจากหลักหมื่นมาเหลือแค่หลักร้อยคนเท่านั้น แล้วถูกยึดอำนาจและแยกสลายประชาชนทันที
.
“ประชาชนกลายเป็นหมากตัวหนึ่งในการยึดอำนาจกันจริง เพราะเหตุผลที่ประกาศนั้น อ้างประชาชนขัดแย้งกัน กำลังจะฆ่ากัน แต่เนื้อแท้เป็นกลเกมการสมยอมอำนาจกันแบบพ่อค้ากับขุนศึก โดยการสมยอมที่น่ากลัวคือ ตัวขุนเป็นหมากนอกกระดาน ที่ไม่มีส่วนความรู้สึกกับการต่อสู้ได้เลย จึงเดินหมากแลกกับตัวไหนก็ได้”นายจตุพร กล่าว
.
นายจตุพร กล่าวว่า ในกระบวนการชุมนุมนั้น หลักการคิดของขุนนอกกระดาน ไม่ได้คิดแบบมนุษย์ด้วยกัน แต่จ้องมองเงาที่ใหญ่กว่าตลอดเวลา โดยหวังจะได้เงามาครอง แล้วก็คายประชาชนทิ้งตลอดเวลา และพร้อมเอาประชาชนแลกทุกสิ่งทุกอย่างได้ตลอดเวลา เมื่อมาถึงวันนี้ก็เช่นกัน เพราะกำลังเดินไปแบบเดิม กล่าวหาพรรคอื่นดูด ส.ส. แต่พรรคตัวเองกวาดมาควบรวมแบบใหญ่กว่า เพื่อจะได้เสียงมากกว่าแล้วจะได้เป็นรัฐบาล ส่วนฝ่ายคู่ต่อสู้ก็รู้ต้มคนตามความอยากนั้นง่ายที่สุด
.
นายจตุพร ระบุว่า การปรากฎตัวแต่ละก้าวย่างเท่ากับเดินเข้าคิลลิ่งโซนที่ถูกกำหนดไว้ โดยอยู่ดีไม่ว่าดีก็ประกาศกลับบ้านโดยไม่ใช้กฎหมาย และสร้างกระแสจะมาก่อนการเลือกตั้งไม่กี่วัน เพื่อหวังผลเสียงแลนด์สไลด์ ซึ่งเป็นการคิดแต่ได้ของตัวเองเท่านั้น โดยไม่มองว่า อีกฝ่ายหนึ่งที่เสียประโยชน์ก็คิดจัดการได้เช่นกัน
.
“การเมืองแบบพ่อค้าจะไม่มีหลักความชอบธรรม ขาดคุณธรรม และไม่มีจริยธรรมใดๆทั้งนั้น จะเอาแต่ประโยชน์เฉพาะหน้าแล้วจะฉิบหายทั้งกระดาน วันนี้ที่คิดจะได้เปรียบ แล้วอีกฝ่ายเขาคิดไม่ทันหรือ?”นายจตุพร ระบุ
.
นายจตุพร กล่าวว่า ยิ่งการออกอาการไม่ปฏิเสธเด็ดขาดกรณีจับมือร่วมกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร) หรือไม่ โดยสภาพปกติเมื่อรู้ว่าอะไรเป็นปัญหามนุษย์จะปฏิเสธทันทีแล้วก็จบ แต่การบอกว่า ไม่จับมือกับคนปฏิวัติตัวเอง นั่นแปลว่า พล.อ.ประวิตร ไม่เกี่ยว จึงเท่ากับแต่งตัวรอกันอยู่แล้ว ดังนั้น เพื่อไทยจะจับมือกับ พล.อ.ประวิตร ได้ส่ออาการจะเกิดเป็นจริงขึ้น
.
นายจตุพร กล่าวว่า ละครโรงนี้ควรจะจบโดยประชาชน แต่วันนี้ก็ใช้ประชาชนมาแสดงเป็นตัวประกอบ หลังเลือกตั้งก็แสดงหลอกประชาชนต่อไปอีก แต่ตัวเองได้ประโยชน์สูงสุดในละครเรื่องนี้ เพราะที่ผ่านใครจะคิดว่าอำนาจเก่ากับอำนาจปัจจุบันจะสมคบคิดกัน ตั้งแต่กระบวนการมอบอำนาจให้คนที่ปราบประชาชน จนกระทั่งสมยอมการยึดอำนาจ พร้อมสมคบกันให้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกนอกประเทศได้แบบสบายๆ ในขณะที่กลุ่มอำนาจก็จับตามองอย่างใกล้ชิด
.
“ทั้งหมดนั้น เราตกเป็นเครื่องมือ ทั้งที่เราคิดถึงประโยชน์ประชาชน ประชาธิปไตย แต่คนที่อยู่เหนือขึ้นไปเขาคิดเรื่องตัวเอง แล้วใช้ประโยชน์จากเรา เพราะรู้ว่าเราสู้เรื่องแบบนี้ แล้วหลังฉากเขาก็เจรจาและเขาพร้อมเสียทุกหมากในกระดาน ดังนั้น เราจึงชวนมาเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง และอำนาจที่แท้จริงต้องเป็นของประชาชนสักครั้ง ในวันไหน ก็วันนั้น”นายจตุพร กล่าว
.
