‘ปิยบุตร’จี้ทุกพรรคฟื้นหลักการ’นายกฯ’ต้องเป็นส.ส.เท่านั้น!!ชงแก้รัฐธรรมนูญกำหนดให้ชัดเจน

0
196

นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ “ว่าด้วย นายกฯต้องเป็น ส.ส.”ระบุว่า ระบบรัฐสภา ไม่ได้บังคับเสมอไปว่านายกรัฐมนตรีต้องเป็น ส.ส. บางประเทศบังคับ บางประเทศก็ไม่บังคับ แต่โดยทั่วไปแล้ว เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรก็มักเลือกคนที่เป็น ส.ส. และเป็นคนที่พรรคเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรี ที่แน่ๆ ประเทศที่ใช้ระบบรัฐสภา ล้วนแล้วแต่ให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติเลือกบุคคลไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สมาชิกวุฒิสภาไม่มีอำนาจในเรื่องนี้
.
กรณีของประเทศไทย ในอดีตที่ผ่านมา ไม่มีรัฐธรรมนูญบังคับไว้ จนกระทั่งรัฐธรรมนูญ 2540 บังคับลงไปอย่างชัดเจน ในมาตรา 201 วรรคสองว่า “นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” และในมาตรา 118 (7) ก็กำหนดว่า เมื่อ ส.ส. ได้เป็นนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี ก็ต้องพ้นจากตำแหน่งจาก ส.ส.
.
หากมองในมุมรัฐธรรมนูญเปรียบเทียบกับต่างประเทศแล้ว รัฐธรรมนูญ 40 ได้ผสมผสานรูปแบบอังกฤษกับฝรั่งเศสเข้าไว้ด้วยกัน นั่นคือ ยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีต้องเป็น ส.ส. (ระบบรัฐสภาแบบอังกฤษ) และเมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ต้องพ้นจากตำแหน่ง ส.ส. เพื่อแยกงานบริหารกับงานนิติบัญญัติออกจากกัน (ระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธนาธิบดี แบบฝรั่งเศส) สาเหตุที่รัฐธรรมนูญ 2540 บังคับให้ต้องเลือก ส.ส. มาเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผลพวงของการต่อสู้กับ “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” และเหตุการณ์พฤษภาคม 2535
.
ภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และรัฐประหาร 2520 กองทัพและชนชั้นนำไทย พยายามออกแบบระบบการเมืองที่ยอมให้มีการเลือกตั้ง แต่มีกองทัพ/ระบบราชการ/ชนชั้นนำ คอยควบคุมบงการอยู่ รัฐธรรมนูญ 2521 (ซึ่งเป็นแม่แบบของรัฐธรรมนูญ 2560) เขียนขึ้นเพื่อรับใช้เป้าประสงค์ดังกล่าว
.
เราจะสังเกตเห็นได้ว่า การเลือกตั้ง 2522 พรรคกิจสังคมได้ลำดับที่หนึ่ง 89 ที่นั่ง แต่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เสียงข้างมากในสภาลงมติเลือก พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นนายกรัฐมนตรี “สืบทอดอำนาจ” จากรัฐประหาร 2520 อีกครั้ง และเมื่อ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ลาออกกลางสภาในปี 2523 เสียงข้างมากในสภาก็พร้อมใจกันเลือกพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ผบ.ทบ. ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ
.
เช่นเดียวกัน การเลือกตั้ง 2526 พรรคชาติไทยได้ลำดับที่หนึ่ง 110 ที่นั่ง แต่ พล.ต.ประมาณ อดิเรกสาร ก็ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องไปเป็นฝ่ายค้าน เพราะพรรคกิจสังคม พรรคประชาธิปัตย์ พรรคประชากรไทย รวมตัวกันลงมติให้ พล.อ.เปรม เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย
.
ในการเลือกตั้ง 2529 พรรคประชาธิปัตย์ได้ลำดับที่หนึ่ง 99 ที่นั่ง แต่นายพิชัย รัตตกุล ก็ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะ พรรคประชาธิปัตย์เลือกที่จะร่วมกับพรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคราษฎร เป็นรัฐบาล โดยลงมติให้ พล.อ.เปรม เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สาม
.
ต้องรอจนกระทั่งการเลือกตั้ง 2531 พรรคชาติไทยได้ลำดับที่หนึ่ง 87 ที่นั่ง คราวนี้พรรคชาติไทย กิจสังคม ประชาธิปัตย์ รวมไทย ประชากรไทย ไปขอให้ พล.อ.เปรม เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย แต่ พล.อ.เปรมปฏิเสธ “ผมพอแล้ว” จึงทำให้ พล.อ.ชาติชาย ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
.
จะเห็นได้ว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2521 นี้ พรรคการเมืองทำหน้าที่แต่เพียงลงเลือกตั้ง เก็บสะสม ส.ส.มาจัดตั้งรัฐบาล และเพื่อประกันให้ตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ รัฐบาลมีเสถียรภาพไม่ถูกรัฐประหาร ก็ต้องยอมให้ “นายพล” คนนอกมาเป็นนายกรัฐมนตรี และมอบตำแหน่งรัฐมนตรี “คนนอก” ให้อีกจำนวนหนึ่ง หากพรรคไหนไม่ยอม ก็จะถูกเตะไปเป็นฝ่ายค้าน แม้ว่าพรรคตนเองจะได้ลำดับที่หนึ่งก็ตาม ดังเช่น พรรคกิจสังคม และพรรคชาติไทย ประสบมาแล้ว
.
แม้ พล.อ.ชาติชาย จะเป็นหัวหน้าพรรคที่ลงเลือกตั้งได้จำนวน ส.ส.อันดับหนี่งและได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็เป็นเพียงระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 โดย รสช.ล้มรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย และเอา “นายพล” คนนอกเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
.
หลังรัฐประหาร 2534 ในช่วงทำรัฐธรรมนูญถาวร มีเสียงเรียกร้องจากภาคประชาชนกดดันว่ารัฐธรรมนูญควรต้องบังคับลงไปให้นายกรัฐมนตรีต้องเป็น ส.ส. เพื่อป้องกันไม่ให้ รสช. แปลงกายสืบทอดอำนาจต่อ เหมือนที่เป็นมาภายใต้รัฐธรรมนูญ 2521 แต่แล้ว รัฐธรรมนูญ 2534 ก็ไม่ได้เขียนบังคับไว้
.
คดียึดทรัพย์รัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลชาติชาย ยกฟ้อง มีการตั้งพรรคใหม่ ชื่อ พรรคสามัคคีธรรม โดยทหารคนสนิทของ รสช. ไปรวบรวมกำลังพล ส.ส. มาจากหลายพรรค
.
การเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2535 พรรคสามัคคีธรรมได้ลำดับหนึ่ง 79 ที่นั่ง พรรคสามัคคีธรรม ชาติไทย กิจสังคม ประชากรไทย และราษฎร เสนอให้ นายณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรม เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เกิดกรณีปัญหารัฐบาลสหรัฐอเมริกาแถลงว่านายณรงค์เป็นบุคคลที่สหรัฐฯไม่ออกวีซ่าให้เพราะใกล้ชิดกับผู้ค้ายาเสพติด ทำให้พรรคทั้งห้าหันไปสนับสนุน พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่ พล.อ.สุจินดา ยืนยันเสมอว่าจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนในท้ายที่สุด ต้องเอ่ยคำว่า “เสียสัตย์เพื่อชาติ” ก่อนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
.
ประชาชนออกมาประท้วงต่อต้าน เพราะเห็นว่านี่คือแผนการ “สืบทอดอำนาจ” ที่วางเอาไว้ ลุกลามเกิดเป็นเหตุการณ์ พฤษภา 2535 กระแส “ปฏิรูปการเมือง” เกิดขึ้น ไม่เอาประชาธิปไตยครึ่งใบ ที่เปิดโอกาสให้ทหารและข้าราชการเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง แม้ยังใช้รัฐธรรมนูญ 2534 แต่พรรคการเมืองก็ไม่เสนอ “คนนอกที่ไม่ได้เป็น ส.ส.” เป็นนายกรัฐมนตรี
.
การเลือกตั้ง กันยายน 2535 พรรคประชาธิปัตย์ได้ลำดับที่หนึ่ง 79 ที่นั่ง เฉือนพรรคชาติไทยที่ได้ 77 ที่นั่ง นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นผู้นำฝ่ายค้าน
.
การเลือกตั้ง 2538 พรรคชาติไทยได้ลำดับที่หนี่ง 92 ที่นั่ง เฉือนพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ 86 ที่นั่ง นายบรรหาร เป็นนายกรัฐมนตรี นายชวน เป็นผู้นำฝ่ายค้าน

การเลือกตั้ง 2539 พรรคความหวังใหม่ได้ลำดับที่หนึ่ง 125 ที่นั่ง เฉือนพรรคประชาธิปัตย์ได้ 123 ที่นั่ง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี นายชวน เป็นผู้นำฝ่ายค้าน
.
ในท้ายที่สุด เพื่อฝังโอกาส “นายกฯที่ไม่ได้เป็น ส.ส.” ให้จมดิน รัฐธรรมนูญ 2540 จึงกำหนดลงไปชัดเจนว่านายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากคนที่เป็น ส.ส. ประเทศไทยยึดถือแบบนี้เรื่อยมา จนกระทั่งรัฐธรรมนูญ 2560 กลับมาเปิดช่องให้มีนายกรัฐมนตรีที่ไม่ต้องเป็น ส.ส. กลับมาอีก โดยคนที่ไม่ได้เป็น ส.ส. อาจไปปรากฏอยู่ในบัญชีรายชื่อผู้เสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรีที่พรรคการเมืองเสนอ หรืออาจโผล่เข้ามาด้วยวิธีการพิเศษตามมาตรา 272 วรรค 2
.
ผมมีความเห็นว่าต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ กำหนดลงไปให้ชัดเจนว่า สภาผู้แทนราษฎรต้องเลือกบุคคลที่เป็น ส.ส. เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุผล 3 ประการ
.
ประการแรก รื้อฟื้นเจตนารมณ์ของ “พฤษภาคม 2535” กลับมา ป้องกันมิให้ “นายกฯคนนอก/นายกฯที่ไม่ได้เป็น ส.ส.” ฟื้นคืนชีพได้อีก กรณีของประเทศไทย ต่างจากประเทศอื่นๆ หากไม่เขียนปิดทางไว้ในรัฐธรรมนูญ ย่อมมีโอกาสที่จะเกิด “นายกรัฐมนตรีคนนอก” “นายกรัฐมนตรีฟ้าประทาน” “นายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้เป็น ส.ส.” เสมอ
.
ประการที่สอง ระบบรัฐสภา ยึดหลักการแบ่งแยกอำนาจนิติบัญญัติ/บริหาร ไม่เคร่งครัดมากเหมือนระบบประธานาธิบดีในสหรัฐอเมริกา หรือระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดีในฝรั่งเศส กล่าวคือ ฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหารยังมีความสัมพันธ์กันอยู่ นายกรัฐมนตรีมาจากความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรีอยู่ได้ด้วยความไว้วางใจของสภาผู้แทนราษฎร นายกรัฐมนตรีมีอำนาจยุบสภาได้ คณะรัฐมนตรีเสนอร่างพระราชบัญญัติได้
.
หากเราปล่อยให้นายกรัฐมนตรีไม่ต้องเป็น ส.ส. หรือแม้กระทั่งพอเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วลาออกจาก ส.ส. ก็จะส่งผลให้เกิดค่านิยมหรือธรรมเนียมที่ผิดๆตามมาว่า นายกรัฐมนตรีไม่ต้องมาสภา ไม่ต้องมาตอบกระทู้ หลบหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
.
นานวันเข้า นายกรัฐมนตรีและฝ่ายบริหารก็มองสภาผู้แทนราษฎรเป็นเพียง “จำนวนนับ” ที่ยกมือให้ตนเองได้เป็นนายกรัฐมนตรี เสร็จแล้วก็ปล่อยให้ตนเองบริหารประเทศไป ไม่ต้องมายุ่งวุ่นวาย หรือมองไปขนาดว่า การมาสภาผู้แทนราษฎร ทำให้เสียเวลาบริหารประเทศ สภาเป็นที่เล่นการเมือง โต้วาที หากสภาพการณ์เช่นนี้บังเกิดขึ้นอีก ระบบรัฐสภาไทยก็ไม่เข้มแข็ง ไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน ระบบรัฐสภา ก็จะค่อยๆ กลายพันธุ์เป็น ระบบรัฐสภาที่ฝ่ายบริหารเป็นใหญ่แทน
.
ประการที่สาม การฉวยโอกาสทางการเมือง หากสภาชุดถัดไปนี้ มีพรรคการเมืองหนึ่ง เสนอชื่อคนที่ไม่ได้ลง ส.ส. ให้เป็นนายกรัฐมนตรีไว้ครบทั้งสามคน ต่อมา หากพรรคการเมืองฝ่ายสืบทอดอำนาจและวุฒิสภา ร่วมมือกัน “ดัดหลัง” ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลับไปกำหนดให้ นายกรัฐมนตรีต้องเป็น ส.ส. เท่านั้น จะทำอย่างไร?
.
ต้องไม่ลืมว่า ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ที่เสนอโดย นายชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ร่างหนึ่ง ได้แก้ไขมาตรา 159 เปลี่ยนที่มาของนายกรัฐมนตรีเสียใหม่ บังคับให้เป็น ส.ส. และร่างฉบับนี้ก็ยังค้างอยู่ในวาระของรัฐสภา ซึ่งมาตรา 147 บอกว่า เมื่อยุบสภาฯ ร่างที่ค้างอยู่ให้ตกไป แต่วรรคสอง เปิดโอกาสให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ร้องขอให้รัฐสภาพิจารณาร่างดังกล่าวต่อได้เลย
.
ผมและเพื่อนๆจากหลากหลายองค์กรที่รวมตัวกันในชื่อ Re-Solution ถึงเวลารัฐธรรมนูญใหม่ ร่วมกับประชาชนเข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมในชื่อ “รื้อระบอบประยุทธ์” เมื่อปลายปี 2564 โดยมีประเด็นกำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องเป็น ส.ส. ด้วย
.
แม้จนถึงวันนี้ รัฐธรรมนูญ 2560 ยังคงเปิดทางให้คนที่ไม่ได้เป็น ส.ส.เป็นนายกรัฐมนตรีได้ แต่ผมยังอยากเรียกร้องไปยังทุกพรรคการเมืองว่า ควรเสนอรายชื่อบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากบุคคลที่เป็น ส.ส. ของพรรค จะกำหนดให้ลงสมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ ลำดับ 1-3 หรือจะไปลงสมัคร ส.ส. เขต ก็ได้
.
เมื่อผลการเลือกตั้งปรากฏ แต่ละพรรคการเมืองก็ควรกลับมารื้อฟื้นธรรมเนียมที่ถูกต้องที่เคยปฏิบัติกันมา นั่นคือ ให้พรรคอันดับที่หนึ่งตั้งรัฐบาล ให้ผู้เสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคอันดับที่หนึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี มิใช่ ตั้งพรรคกันมาเพื่อรอลุ้น 25 ที่ แล้วไปรอเสียบขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
.
รัฐธรรมนูญ 2560 เขียนขึ้นมาเพื่อรับใช้การสืบทอดอำนาจ ตามแบบรัฐธรรมนูญ 2521 แทนที่จะทำตามโอกาสที่รัฐธรรมนูญ 2560 เปิดช่อง ทำไมเราถึงไม่เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องตามหลักการที่เคยปฏิบัติกันมาในระบบรัฐสภา?
.

ThePoint #Newsthepoint #ข่าวการเมือง #ปิยบุตรแสงกนกกุล #คณะก้าวหน้า #นายก #เลือกตั้ง #สส #สภา